ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณการผลิตก๊าซแอลพีจีมีถึง
4.4ล้านตันโดยมีการใช้ในภาคครัวเรือนและยานยนต์ประมาณ 2.2 ล้านตัน ที่เหลือใช้ในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่ปรากฎว่าการอุ้มราคากลับอุ้มทั้งหมด ทั้งๆที่ภาคอุตสาหกรรมมีกำไรเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่มีความเหมาะสมที่รัฐบาลจะต้องอุ้มภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซในการเป็นปัจจัยการผลิตที่ไปสร้างกำไรให้กับตัวเอง
ด้าน
นายไพบูลย์ ซำศิริพงษ์ ส.ว.ปทุมธานี กล่าวว่า จุดอ่อนนโยบายของรัฐบาล คือ การกำหนดค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ เพราะจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ยังไม่มีความแข็งแรงเมื่อเทียบกับภาคธุรกิจขนาดใหญ่ หากจะดำเนินการเรื่องนี้ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยด้วยการปรับขึ้นค่าแรงตามฝีมือแรงงานมากกว่า
นอกจากนี้
ขอท้วงติงโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลเนื่องจากยังไม่เห็นความเป็นรูปธรรมมากนัก เช่น โครงการสร้างขนส่งระบบรางทั่วประเทศสำหรับใช้ในการขนส่งสินค้า ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงยังเลือกแนวทางเดิม คือ การขนส่งสินค้าด้วยการอ้อมตามแนวชายภาคใต้ของไทย ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าควรมีการรื้อโครงการขุดคลองคอดกระ เพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้าและสร้างความสามารถในการแข่งขัน
ขณะที่นายคำนูณ
สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลต้องจับตาดูว่า จะมีนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้กับประชาชนหรือไม่ เพราะหากนโยบายหาเสียงใดไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในนโยบายของรัฐบาล อาจเข้าข่ายทำผิดกฎหมายเลือกตั้งได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินคดียุบพรรคการเมือง
source:http://www.posttoday.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น