การสร้างจิตสำนึกเรื่องพลังงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆสร้างให้เป็นวัฒนธรรมบนฐานความรู้ (Knowledged base) เป็นแบบแผนที่ฝังตัวอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันและทัศนคติของผู้คน ทำอย่างจริงจังต่อเนื่องจนชาวบ้านเห็นผลในระยะยาว.
บทความนี้ข้าพเจ้าในฐานะคนไทยคนหนึ่งขอเสนอวิธีสร้างและปลูกฝังวัฒนธรรมเรื่องพลังงานใน ๔ ภาคส่วน โดยใช้องค์ความรู้พหุปัญญา ดังนี้ คือ
- ภาคการศึกษา (ดูรูปที่ ๑) ตัวอย่างสอดแทรกเรื่อง “พลังงาน” ในภาคการศึกษา
- ภาคประชาชน-ชุมชน (ดูรูปที่ ๒) ตัวอย่างสอดแทรกเรื่อง “พลังงาน” ในภาคประชาชน-ชุมชน
- ภาครัฐ (ดูรูปที่ ๓) ตัวอย่างสอดแทรกเรื่อง “พลังงาน” ในหน่วยงานภาครัฐ
- ภาคธุรกิจเอกชน (ดูรูปที่ ๔) ตัวอย่างสอดแทรกเรื่อง “พลังงาน” ในภาคธุรกิจเอกชน
ภาคการศึกษา การศึกษาควรเน้นแนวคิดพื้นฐาน ให้เนื้อหาพลังงานมีความหมายต่อประสบการณ์และความสนใจของผู้เรียน และให้ผู้เรียนมีโอกาสอภิปรายในหมู่นักเรียนด้วยกัน ให้ทำงานเป็นกลุ่มร่วมกันเพื่อสืบค้นปัญหาพลังงานหรือประเด็นต่างๆ และได้สื่อสารสิ่งที่ค้นพบจากการสืบค้น การประเมินผลวัดจากความเข้าใจที่สามารถประยุกต์กับสถานการณ์ใหม่ๆได้ ทักษะในการสืบค้น การวิเคราะห์ข้อมูลและการสื่อสาร
ภาคประชาชน-ชุมชน ตัวอย่างหนึ่งที่ดีๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคประชาชน-ชุมชนสามารถริเริ่ม จัดการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ เช่นโครงการวางแผนพลังงานชุมชน ตำบลพลับพลาไชย อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ที่แสดงให้เห็นว่าชุมชนมีการยกระดับสู่การคิดวิเคราะห์เป็น รู้ว่าพลังงานเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันแต่ละครัวเรือนอย่างไร เห็นภาพพลังงานที่เข้ามาในชุมชน และชาวบ้านใช้พลังงานแต่ละประเภททำอะไรบ้างเช่น หุงต้ม ทำแสงสว่าง ทำอุตสาหกรรมในครัวเรือนเป็นต้น จากนั้นวิเคราะห์ออกมาเป็นตัวเลขเพื่อเปรียบเทียบการใช้พลังงานแต่ละประเภท และบอกได้ว่าค่าใช้จ่ายพลังงานมากน้อยเพียงใด ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า เราจะต้องประหยัดหรือวางแผนการใช้พลังงานอย่างไร ทั้งช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำฟืนหรือเผาถ่าน ช่วยลดโลกร้อน และใช้เป็นฐานข้อมูลในการเพิ่ม Carbon Credit ของประเทศได้ด้วย. (ดูรูปที่ ๒ ประกอบ) (ทำเป็นรูปเล็ก ๆ คลิกแล้วขยายเป็นรูปใหญ่)
ภาครัฐ ควรมีการจัดสรรงบประมาณประจำปี เงินกองทุนหรือจัดประกวดเพื่อสนับสนุนชุมชนที่สามารถสร้างเครือข่าย ทำโครงการวางแผนพลังงานชุมชน เช่น โครงการการใช้ต้นพลังงานร่วมกัน ได้แก่ พลังงานน้ำ ฯลฯ อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรม เพื่อขยายผลให้ชุมชนอื่นนำไปปรับใช้หรือขยายผลให้เหมาะกับพื้นที่ของตนต่อไปอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน.
ภาคธุรกิจเอกชน สามารถเข้าร่วมกิจกรรม และ/หรือรับผิดตามกฎหมายหากมีการละเมิดใช้พลังงานจนเกิดมลภาวะหรือผลเสียต่อสุขอนามัยของประชาชนโดยส่วนรวมเกินระดับมาตรฐานสากลในเรื่องนั้นๆ
อิฐก้อนหนึ่งดูเหมือนไม่มีความหมายอะไร แต่เมื่อรวมกันนำมาสร้างเป็นอาคารก็จะเกิดโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ให้ผู้คนได้อยู่อาศัยและพักพิง ดุจดังพลังจากแต่ละภาคส่วนเมื่อผนึกกำลังกันเชื่อมโยงประสานใช้พลังงานอย่างมีคุณค่า สังคมส่วนรวมก็จะได้ประโยชน์และเป็นการทำความดีถวายพ่อหลวงสมดังพระราชดำรัสของพระองค์ท่านซึ่งตรัส ณ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ ความว่า
“ การที่จะมีความเจริญอยู่ดีกินดีนั้น อยู่ที่การทำงานด้วยวิชา วิชาที่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่า ต้องมีความรู้สูงมาก
แต่วิชาคือวิธีทำงาน....”
นางพัชรี เตียจันทร์พันธุ์ Lawwill เรียบเรียง
source : http://www.beat2010.net/index.php/technology-for-energy-conservation-in-buildings/233-beat-article-16.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น