คาดกู้โปะ2หมื่นล้าน หวั่นกระทบ"โซฮอล์"
คมนาคมสั่ง"ขสมก." เตรียมหั่นค่าโดยสาร
ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม มีมติปรับลดการ เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งเป็นนโยบายที่พรรค เพื่อไทยหาเสียงในการเลือกตั้ง ช่วยลดภาระ ค่าครองชีพให้ประชาชน และเป็นนโยบายแรกที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้มีผลทางปฏิบัติ หลังถูก วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกรณีขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ที่ถูกมองว่าใช้ถ้อยคำบิดเบือนเพื่อเลี่ยงบาลีไม่ต้องทำตามที่ประกาศไว้
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)ในการอนุมัติให้ปรับลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลชั่วคราว โดยในส่วนน้ำมันเบนซิน 95 ให้ชะลอการเก็บที่ 7.50 บาทต่อลิตร รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เป็น 8.02 บาท ต่อลิตร เบนซิน 91อยู่ที่ 6.70 บาทต่อลิตร รวมแวตเป็น 7.17 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 2.80 บาทต่อลิตร รวมแวตเป็น 3 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีก ปรับตัวลดลง
มติดังกล่าวทำให้ราคาขายปลีกเบนซิน 95 อยู่ที่ 39.32 บาทต่อลิตร จากเดิม 47.349 ต่อลิตร เบนซิน 91 อยู่ที่ 34.77 จากเดิม 41.94 บาทต่อลิตร และราคาน้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ 26.99 บาทต่อลิตร จากเดิม 29.99 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ราคา
น้ำมันลงมาใกล้เคียงกับแก๊สโซฮอล์ โดยแก๊สโซฮอล์ 95 ปัจจุบันอยู่ที่ลิตรละ 37.04 บาท แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 34.54 บาท/ลิตร ขณะที่น้ำมันแก๊สโซฮอล์ยังไม่มีพิจารณาปรับลด โดยราคาดังกล่าวมีผลตั้งแต่เวลา 6.00 น. วันที่ 27 สิงหาคม
จากมาตรการดังกล่าวส่งผลให้ กองทุนน้ำมันฯต้องเสียรายได้ประมาณ 6,160 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของเบนซิน 1,530 ล้านบาท และดีเซลอีก 4,629 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจุบันสถานการณ์กองทุนน้ำมันฯมีเงินสดทางบัญชีประมาณ 15,613 ล้านบาท มีหนี้สินประมาณ 14,617 ล้านบาท ทำให้เหลือเงินสดสุทธิ 808 ล้านบาท
ส่วนเงินไหลเข้าปัจจุบันอยู่ที่เดือนละ 7,346 ล้านบาท มีเงินไหลออก 4,604 ล้านบาท และกองทุนมีฐานะเป็นบวกเดือนละ 2,742 ล้านบาท แต่กองทุนฯมีภาระต้องชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่เงินทางบัญชีคาดว่าจะดูแลราคาน้ำมันได้ถึงเดือนมกราคม 2555 หลังจากนั้นจะหาแนวทาง กู้เงินตามที่รัฐบาลชุดก่อนอนุมัติกรอบไว้ที่ 20,000 ล้าน คาดว่าจะใช้ดูแลราคาน้ำมันได้ 6 เดือนเท่านั้น
นายพิชัยกล่าวด้วยว่า การชะลอเก็บเงิน เข้ากองทุนน้ำมันฯครั้งนี้ เป็นมาตรการที่รัฐบาลได้ทำตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนที่ใช้น้ำมัน เบนซินประมาณ 20% โดยเฉพาะผู้ใช้รถยนต์เก่าและรถมอเตอร์ไซต์นับล้านคัน ส่วนผู้ใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 7 ล้านคัน เป็นมาตรการระยะสั้น ไม่มีกำหนดกรอบเวลาไว้ แต่ไม่เกิน 1 ปี เมื่อเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ประชาชนมีรายได้เพิ่มก็จะกลับมาเก็บเงินคืนเข้ากองทุนฯอีกครั้ง
นายพิชัยกล่าวอีกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการให้ที่ประชุมฯกบง.ติดตามการใช้แก๊สโซฮอล์ใกล้ชิด เพราะยังมีส่วนต่างของราคาน้ำมันเบนซินกับแก๊สโซฮอล์ที่ 2 บาทต่อลิตร หากเกิดผลกระทบจะหามาตรการมาดูแลอีกครั้ง ขณะนี้ไม่มีแนวคิดจะชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนฯของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ 10 สตางค์ต่อลิตร เพราะเห็นว่าไม่มีผลต่อราคา มากนักนโยบายดังกล่าวได้เตรียมเงินชดเชย น้ำมันคงค้างให้ผู้ค้าน้ำมันรวม 3,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ จากนโยบายดังกล่าว ยังได้ประสานกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหาทางลดราคาสินค้าลง รวมทั้งกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาลดค่าขนส่งลงด้วย ส่วนแนวคิดลดภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ เพื่อให้มี ส่วนต่างราคากับน้ำมันเบนซินมากขึ้น รวมถึง การขยายเวลาลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลกระทรวงการคลังต้องการให้พิจารณาให้รอบคอบ
ด้านนายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้น จะส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่ม และทยอยสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่จะปรับ โครงสร้างราคาพลังงานสู่การลอยตัวราคาในอนาคต นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.สามารถลดราคาน้ำมันตามมติ กบง.ได้ทันที แต่ต้องการให้รัฐบาลหาแนวทางรักษาส่วนต่างราคาระหว่างเบนซินกับแก๊สโซฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ หรือการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
ทั้งนี้ หากรัฐบาลยังคงต้องการ ตรึงราคาเอ็นจีวีให้อยู่ที่ระดับ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ต่อไป จำเป็นต้องมีมาตรการ เสริมรองรับ เพราะปลายปีนี้ ปตท.จะขยายสถานีบริการเอ็นจีวีเป็น 500 แห่งทั่วประเทศ และจะมีการใช้มากขึ้นกว่า 200 ล้านลูกบาศก์ฟุต ต่อวัน หากไม่มีมาตรการรองรับ ทำให้ ปตท. ต้องแบกรับภาระขาดทุนมากขึ้น สำหรับ แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกสัปดาห์หน้ามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ค่าการตลาดน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซลเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 บาทต่อลิตร
ขณะที่นางพิศวรรณ อัชนะพรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เชลล์ ประเทศไทย เห็นว่า การยกเว้นการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 3 ชนิดควรดำเนินการระยะสั้น 3 เดือนเท่านั้น เพราะคาดว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ในสัดส่วนสูงถึง 70% รัฐบาลต้องดูแล ผู้ใช้กลุ่มนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม การลดราคาน้ำมันในกลุ่มเบนซินจะทำให้มีการนำเข้าน้ำมันมากขึ้น สวนทางกับนโยบายของ รัฐบาลที่ให้ลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศ
ส่วนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการลดการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันเบนซิน และดีเซลว่า เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อสภา เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการ เร่งด่วนที่จะช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ในส่วนราคาน้ำมันเบนซิน 91 เบนซิน 95 และดีเซล ตนมองในส่วนของผลลัพธ์ที่ต้องการให้ราคาน้ำมันลดลง แต่วิธีการที่จะทำให้เกิดความคล่องตัว และมีการศึกษาผลกระทบทั้งหมดเป็นเรื่องที่คณะกรรมการ กบง.ไปหารือในรายละเอียดต่อไป ซึ่งจะมีคำตอบเสนอมาอีกครั้ง ส่วนกรณีการลด โควตาแก๊สโซฮอล์ก็จะให้มีการพิจารณาอีกครั้ง รวมถึงจะทำอย่างไรให้มีการรณรงค์เรื่อง การประหยัดพลังงาน และนโยบายการหาพลังงานทดแทนในอนาคต
ขณะที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า สั่งให้รถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) รถทัวร์ของบริษัทขนส่ง จำกัด (บขส.) ต้องปรับลด ค่าโดยสารทันที ส่วนรถร่วมเอกชนของ ขสมก. และรถร่วม บขส. เชื่อว่าน่าจะปรับลดราคาตามลงมาด้วย ส่วนค่าโดยสารเรือ จะหารือผู้ประกอบการ เพื่อขอความร่วมมือต่อไป
ด้านนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยระบุว่าบขส.เป็นหน่วยงานแรก ที่จะนำร่องปรับลดค่าโดยสาร โดยสั่งเจ้าหน้าที่ไปคำนวณอัตราค่าโดยสารใหม่ คาดว่าจะประกาศใช้ได้ในวันที่ 29 สิงหาคม เช่นเดียวกับ นายโอภาส เพชรมุณี ผอ.ขสมก. ที่ระบุว่า ในหลักการเมื่อราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงลิตรละ 3 บาท อัตราค่าโดยสารก็ต้องปรับลดลงอย่างน้อย 1 บาท ซึ่งขสมก.จะนำเสนอแนวทางปรับอัตรา ค่าโดยสารผ่านคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง และรมว.คมนาคมก่อน
source:http://www.naewna.com/news.asp?ID=277256
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น