วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กฟผ.สำรวจเกาหลีใต้ ดูต้นแบบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์คุณภาพ

ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับล่าสุด หรือ PDP (Power Development Plan) 2553-2573 ได้ปรับเลื่อนโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ออกไป 3 ปี จำนวน 5 โรง กำลังผลิตละ 1,000 เมกะวัตต์ เป็นผลมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในฟูกูชิมา ประเทศญี่ปุ่น เกิดปัญหา ทำให้รัฐบาลไทยต้องทบทวนแผนพลังงาน หากแต่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยังคงต้องมีหน้าที่ศึกษาเทคโนโลยีที่เหมาะสมหากนโยบายอนาคตจะกลับมาก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกครั้ง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ กฟผ.เดินทางไปเกาหลีใต้เพื่อเยี่ยมชมเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 โครงการ คือ โครงการแรก Kori Nucler Power site ของบริษัท KOREA HYDRO & NUCLEAR POWER หรือ KHNP เมืองปูซาน มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า 8 ตัว รวมกำลังผลิตติดตั้ง 5,137 เมกะวัตต์ ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 2 เตา รวม 2,800 เมกะวัตต์ จะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2556 และปี 2557 เตรียมจะเพิ่มอีก 2 เตา โดยปฏิกรณ์นิวเคลียร์เตาแรกเดินเครื่องผลิตไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2521 และปี 2553 สามารถเดินเครื่องได้เต็มที่สูงสุด 95.7% จนถึงวันนี้ไม่เคยเกิดเหตุขัดข้องสักครั้ง

โครงการ Kori เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบน้ำความดันสูง (Pressurized Water Reactor : PWR) จะต้มน้ำภายในถังขนาดใหญ่ อัดความดันไว้เพื่อไม่ให้น้ำเดือดกลายเป็นไอ น้ำส่วนนี้ไปถ่ายเทความร้อนให้แก่น้ำหล่อเย็นอีกระบบหนึ่งที่ไม่ได้ควบคุมความดันเพื่อผลิตไอน้ำออกมา เป็นการป้องกันไม่ให้น้ำในถังซึ่งมีสารรังสีเจือปนอยู่แพร่กระจายไปยังอุปกรณ์ส่วนอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างจากโรงไฟฟ้าฟูกูชิมาที่เป็นแบบน้ำเดือด (Boiling Water Reactor : BWR) สามารถผลิตไอน้ำได้โดยตรงจากการต้มน้ำภายในถัง ซึ่งไม่ได้ควบคุมความดัน

โครงการ 2 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ KEPCO : KOREA ELECTRIC POWER CORPORATION ในกรุงโซล มีกำลังผลิตรวม 18,715 เมกะวัตต์ และยังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงอื่น ๆ จากถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งความน่าทึ่งของโรงไฟฟ้า KEPCO คือการซื้อเทคโนโลยีนิวเคลียร์จากยุโรป แต่หลังจากได้ศึกษาและพัฒนาเองจนสามารถขายเทคโนโลยีภายใต้ชื่อ KEPCO ให้ตลาดต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย อียิปต์ ฟินแลนด์ ฯลฯ

การได้แลกเปลี่ยนความเห็นจากตัวแทนของทั้ง 2 บริษัท ถึงประเทศไทยหากจะต้องก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นอกเหนือจากนโยบายรัฐจะต้องชัดเจนแล้ว ยังอีกประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1.กฎหมายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ครอบคลุมไปถึงการดูแล "ประชาชน" ในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า และ 2.ต้องทำให้ประชาชนเชื่อถือมากที่สุด สำหรับกฎหมายพิเศษนี้จะต้องควบคุมดูแลทั้งตัวโรงไฟฟ้าเอง และจะต้องดูแลประชาชนทั้งก่อนและหลังการเดินเครื่องไปตลอดอายุโรงไฟฟ้า ส่วนความเชื่อถือจากประชาชนถือว่าสำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากว่าประชาชนในพื้นที่โรงไฟฟ้าอยู่ไม่ได้ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน

การเดินทางครั้งนี้ กฟผ.ไม่ได้ละเลยที่จะศึกษาเรื่องเชื้อเพลิงประเภทอื่น ๆ ในเกาหลี ยังได้ไปชมโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด Yeongheung Thermal Power Site Division ของบริษัท KOREA SOUTH-EAST POWER กำลังผลิตติดตั้ง 3,340 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย ความโดดเด่นของโรงไฟฟ้านี้คือ การปล่อยมลพิษสู่บรรยากาศน้อยมากเมื่อเทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าถ่านหินอื่น ๆ กระบวนการผลิตมีความคล้ายกับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปางของไทย อย่างเช่น การปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะต่ำกว่าที่มาตรฐานกำหนดคือ ต่ำกว่า 15 PPM

ด้าน นายธวัช วัจนพรสิทธิ์ รองผู้ว่าการกิจการสังคมและสิ่งแวดล้อม กฟผ.กล่าวว่า การจะเลือกพลังงานประเภทใดก็ตามจะต้องดูว่าดีต่อเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ด้วย เมื่อเปรียบเทียบพลังงานนิวเคลียร์กับถ่านหิน ถ่านหินต้นทุนต่อหน่วยถูก แต่ค่าก่อสร้างแพง ส่วนนิวเคลียร์ ต้นทุน เชื้อเพลิงจะแพงกว่าเล็กน้อย ค่าก่อสร้างไม่สูงมากนักขึ้นอยู่กับว่าประเทศจะไปทางใด เพราะวิกฤตของประเทศขณะนี้คือการใช้ก๊าซธรรมชาติที่สูงเกิน 72.81% ขณะที่ปริมาณก๊าซในประเทศเหลือใช้ได้เต็มที่เพียงไม่เกิน 15 ปี ฉะนั้นเพื่อความมั่นคงแล้วประเทศจะบริหารสัดส่วนการผลิตพลังงานอย่างไร

หากโรงไฟฟ้าในประเทศนับวันจะยิ่งสร้างได้ยากขึ้น แต่ความต้องการใช้กลับเพิ่มขึ้นนั้น เชื่อมั่นว่าเร็ว ๆ นี้อาจจะต้องปรับแผน PDP ใหม่อีกครั้ง เพราะไม่ว่าจะเป็นเชื้อเพลิงประเภทใด กฟผ.มุ่งเน้นจะต้องทำให้อัตราค่าไฟฟ้าเหมะสม แม้แต่คนจนก็ต้องมีสิทธิใช้ด้วยเช่นกัน

การเดินทางไปสำรวจกิจการทางด้านพลังงานในเกาหลีใต้ครั้งนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยต้องการจะให้เห็นมุมที่ดีและประโยชน์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์


source: http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1314679087&grpid=00&catid=&subcatid=

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นโยบายข้อ 6 หน้า 18 ...เดินหน้า...ท้าชน คนใต้..???


“นโยบายข้อ 6 เราจะจัดให้มีการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมแห่งใหม่ โดยพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ในทุกภูมิภาคที่เหมาะสมเพื่อรองรับการลงทุนด้านอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อมลพิษ และพัฒนาเส้นทางการขนส่งเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่อุตสาหกรรมดังกล่าวกับท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังและท่าเรือมาบตาพุด รวมทั้งการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจระหว่างฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทยสำหรับรองรับอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน” สิ้นเสียงประโยคบรรทัดสุดท้ายที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร อ่านจบลง เสียงอุทานจากบังหวังชาวประมงแห่งบ้านปากบางสะกอม ก็สบถออกมาดังๆ ลั่นโรงน้ำชาว่า “อุตสาหกรรมพ่อมึงสิ ที่ไม่ก่อมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม...เกิดมากูยังไม่เคยเห็นโว้ย”

ผมเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของบังหวังและเพื่อนฝูงดี เพราะพวกเขาได้ลุกขึ้นมาสู้กับโครงการขนาดใหญ่มาก่อนหน้านี้ และพบกับความพ่ายแพ้อย่างราบคาบ โรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซไทย-มาเลย์ และโรงไฟฟ้าจะนะ ยืนทะมึนตระหง่านเสมือนเยาะเย้ยถากถางให้อารมณ์ของบังหวังและพรรคพวกขุ่นเคืองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และวันนี้ตำบลนาทับในพื้นที่อำเภอจะนะซึ่งเป็นบริเวณใกล้เคียงกันกับตำบลสะกอม ที่บังหวังและพี่น้องที่ประกอบอาชีพทำการประมงชายฝั่งไปประกอบการประมงกันในบริเวณนั้น วันนี้เป็นพื้นที่เป้าหมายในฝั่งอ่าวไทยของโครงการสะพานเศรษฐกิจ (land bridge) ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงออกมา

การสั่งเดินหน้าโครงการโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซไทย-มาเลย์ ในยุคสมัยที่อดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เกิดการใช้ความรุนแรงขึ้นในพื้นที่ บังหวังและพี่น้องในตำบลนาทับ ตำบลสะกอม ต่างตระหนักดีถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นในชุมชนของพวกเขา ไม่ว่าผลกระทบต่อการประกอบอาชีพทั้งบนบกและในทะเล สัตว์น้ำในลำคลองนาทับ คลองสะกอมที่เป็นแหล่งทำการประมงของพวกเขา พันธุ์สัตว์น้ำลดลงอย่างรวดเร็ว ยังไม่รวมถึงความขัดแย้งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหลักศาสนากรณีที่ดินวะกัฟ ที่ทางบริษัทยึดเอาไปเป็นของส่วนตัว เป็นความขัดแย้งที่ร้าวลึกจนถึงวันนี้ก็ยังไม่คลี่คลาย

กรณีการสั่งเดินหน้าโครงการโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซไทย-มาเลย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้อำนาจบาทใหญ่ใช้อำนาจรัฐในมือทุกส่วนเข้ามาล้อมกรอบชุมชน ไม่ไยดีต่อคำท้วงติงของภาคส่วนต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคม ไม่ว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรรมาธิการการมีส่วนร่วมของวุฒิสภา ที่เสนอให้ยุติและทบทวนโครงการ หรือบรรดาเหล่านักวิชาการทั่วประเทศกว่า 1,000 คนที่ร่วมกันเข้าชื่อกันเรียกร้อง เพราะปมปัญหาของโครงการมิได้มีเฉพาะการก่อให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่เท่านั้น แต่มันยังมีปมปัญหาอื่นๆ ที่ยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นธรรมกับประเทศชาติ ไม่ว่าปมของพื้นที่ทับซ้อนของแหล่งก๊าซในทะเล หรือปมของการแบ่งปันผลประโยชน์ที่บรรดานักวิชาการมองว่าทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ

การเหลิงในอำนาจและเชื่อมั่นกลไกรัฐในมือ การใช้อำนาจเข้าสลายการชุมนุมของพี่น้องอำเภอจะนะที่หน้าโรงแรมเจบีหาดใหญ่ ในค่ำของวันที่ 20 ธันวาคม 2545 ส่งผลให้เกิดการใช้ความรุนแรงถึงเลือดตกยางออก เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในสมัยนั้น และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกหลายท่านต้องตกเป็นจำเลยในศาล จนถึงวันนี้คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้น้องได้มีโอกาสขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บทเรียนในครั้งนั้น ลิ่วล้อทั้งหลายซึ่งหลายคนก็กลับเข้ามาห้อมล้อมคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันนี้อีกครั้ง ควรจะได้สรุปบทเรียนให้ท่านได้รับทราบบ้างว่า การจะเดินหน้าโครงการใดๆ ที่ไม่รับฟังผู้คนในพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบและองค์กรต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคมนั้น ถึงท่านจะได้รับชัยชนะในเบื้องต้น แต่ท่านก็จะพ่ายแพ้ในปั้นปลาย

การระบุให้การดำเนินการโครงการสะพานเศรษฐกิจไว้ในนโยบาย ในขณะที่ผู้คนในพื้นที่ไม่เห็นด้วยและกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระดับต่างๆ รวมไปถึงข้อถกเถียงถึงเป้าหมายและทิศทางของการพัฒนาภาคใต้ ที่มีมากไปกว่าการมุ่งสู่ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ปิโตรเคมี หรืออุตสาหกรรมที่เจริญตามรอยมาบตาพุด ที่มากไปกว่านั้นในรัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้ยุติโครงการดังกล่าวเพราะมีมติจากสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติปี พ.ศ. 2550 ได้มีข้อเสนอให้คณะรัฐมนตรียุติและทบทวนแผนดังกล่าว และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 ไว้ 4 ข้อคือ

1. มอบหมายให้สภาพัฒน์ทบทวนร่างแผนแม่บทภาคใต้ โดยมีหลักการที่สำคัญภายใต้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 2. การดำเนินการตามข้อ 1 ให้สภาพัฒน์ตั้งกรรมการที่ประกอบด้วยทุกภาคส่วนด้วยการมีส่วนร่วมใช้เครื่องมือที่หลากหลาย มุ่งการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์คำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน 3. ให้คณะกรรมการตามข้อ 2 ผลักดันแผนให้ได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งระดับภาค ท้องถิ่น กลไกติดตาม กำกับประเมิน เผยแพร่ข่าวสารให้ประชาชนทราบ 4. ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การดำเนินการของคณะกรรมการตามข้อ 2 มีความต่อเนื่อง

การระบุไว้ในนโยบายของรัฐบาลที่ว่าด้วยการเดินหน้าโครงการสะพานเศรษฐกิจ (Land Bridge) อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือเซาเทิร์น ซีบอร์ด (Southern Seaboard Development Plan) โดยไม่ยอมฟังข้อทักท้วงของภาคส่วนต่างๆโดยเฉพาะของภาคประชาชน ที่กังวลว่าการเดินหน้าโครงการดังกล่าวอย่างเร็วๆ อย่างลวกๆ นั้น จะส่งผลเสียให้เกิดขึ้นมากกว่าผลดี การระบุไว้ในนโยบายเช่นนั้นเสมือนท่านไม่สนใจ ไม่แคร์ และพร้อมที่จะเดินหน้าท้าชนกับคนใต้ ถ้าพวกท่านคิดเช่นนั้นก็เชิญเลยครับ.

โดย บรรจง นะแส
source:http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000108923

ทำทันที ลดราคาน้ำมัน พังทันที พลังงานทดแทน

รัฐบาลโคลนนิ่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยกเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับน้ำมันดีเซล เบนซิน 95 และเบนซิน 91 ชั่วคราว ทำให้ราคาน้ำมันดีเซล ลดลง 3 บาทต่อลิตร จากลิตรละ 29.99 บาท เหลือ 26.99 บาท น้ำมันเบนซิน 95 ลดลง8.02 บาทต่อลิตร จากลิตรละ 47.43 บาทต่อลิตร เหลือ 39.32 บาท น้ำมันเบนซิน 91 ลดลง 7.50 บาทต่อลิตร จากลิตรละ 41.94 บาท เหลือ 34.77 บาท

รัฐไม่มีทางเลือก ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าการลดราคาแบบช๊อกตลาดครั้งนี้จะส่งผลกระทบอะไรบ้าง เพราะหากไม่ทำข้อกล่าวหาที่ว่าดีแต่โม้จะรุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากที่นโยบายขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาทต่อวันทันที ปรับเงินเดือนเริ่มต้นผู้จบปริญญาตรี เป็นเดือนละ 15,000 บาททันที ถูกบิดพลิ้ว เล่นสำนวนจากค่าแรงขั้นต่ำกลายเป็นรายได้ขั้นต่ำ จากที่เคยสัญญว่าจะขึ้นให้ผู้ใช้แรงงานทุกคนทั่วประเทศ กลายเป็นสัญญาแบบมีดอกจันมีข้อแม้วว่าต้องเป็นแรงงานมีฝีมือ ในบางพื้นที่ และไม่มีกำหนดว่าจะขึ้นเมื่อไร กลายเป็นเรื่องแหกตาที่รัฐบาลได้แต่หวังว่า กาลเวลา และการบริหารจัดการสื่อจะช่วยลบคำสัญญาแบบมีดอกจันนี้ให้จางหายไปจากความรับรู้ของประชาชนได้

โกหกเรื่องค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว หากยังหลอกลวงเรื่องราคาน้ำมันอีก ให้กำกับดูแลสื่อดีแค่ไหนคงไม่อาจยับยั้งกระแสความไม่ขอใจของประชาชนได้แน่ การลดราคาน้ำมันจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำทันที โดยไม่ต้องสนใจว่าผลที่เกิดขึ้นคืออะไร ขอให้ประชาชนเห็นว่า อย่างน้อยก็มีสักเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลได้ทำตามที่หาเสียงไว้ก็บรรลุเป้าหมายทางการเมืองแล้ว

การลดราคาน้ำมันครั้งนี้แน่นอนว่าประชาชนได้ประโยชน์ แม้จะเป็นประโยชน์ในระยะสั้น เพราะราคาน้ำมันที่ถูกลงลิตรละ 3-8 บาทนี่ เป็นเพราะการงดจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ไม่ใช่เป็นเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง หากราคาตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นราคาขายปลีกในบ้านเราก็จะต้องปรับตัวตาม ราคาน้ำมันที่ถูกลงมานี้จึงเป็นเพียงภาวะชั่วคราว

แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นที่รุนแรงมากที่สุดคือ การทำลายนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2546 และได้รับการสานต่อเรื่อยมาจนสามารถเพิ่มปริมาณการใช้เชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทดแทน โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพลังานเองมีการกำหนดแผนส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนฉบับใหม่ระยะเวลา 15 ปี โดยตั้งเป้าให้มีการใช้พลังงานทดแทนร้อยละ 20 เมื่อสิ้นปี 2565

ภายใต้นโยลบายพลังงานทดแทน บริษัทน้ำมันต่างๆ ได้ปรับตัวเปลี่ยนแผนการผลิตและการตลาด เพื่อรองรับการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพราะเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจริงจังกับนโยบายนี้ บางบริษัท เช่น บางจาก ซึ่งมีปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ 600 แห่ง ไม่ขายน้ำมันเบนซิน ขายแต่แก๊สโซฮอล์อย่างเดียว บริษัทเชลล์ ลดการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะเบนซิน 91 ลง เพิ่มหัวจ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยมีแรงจูงใจที่สำคัญคือ ราคา ทำให้จำนวนผู้ใช้แก๊สโซฮอล์ในปัจจุบันมีมากกว่าผู้ใช้น้ำมันเบนซินในสัดส่วน 70 ต่อ 30 เปอร์เซ็นต์

ดังนั้น เมื่อรัฐบาลลดราคาน้ำมันเบนซินโดยการงดเก็นเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในปัจจุบันไม่ต่างกันมาก โดยเฉพาะเบนซิน 91 ซึ่งยังใช้กันมาก สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 29 สตางค์เท่านั้น จึงเป็นการฆ่านโยบายพลังงานทดแทนที่รัฐบาลชุดก่อนๆ สานต่อมาเกือบ10 ปี ให้ต่ายไปอย่างเงียบๆ เพราะผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้น้ำมันเบนซินแทนแก๊สโซฮอล์ เพราะราคาแทบจะไม่ต่างกันเลย เมื่อหักลบกับอัตราการสิ้นเปลืองเมื่อใช้แก๊สโซฮอล์ ซึ่งสิ้นเปลื่องมากกว่าเบนซินราวๆ 5 เปอร์เซนต์

นอกจากบริษัทน้ำมันที่เหมือนถูกหักหลังจากนโยบายพลังงานของรัฐบาลแล้ว ยังมีธุรกิจเอทานอลที่ต้องตกเป็นเครื่องสังเวยคะแนนนิยมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วย ปัจจุบันมีผู้ผลิตเอทานอลรวม 19 ราย มีกำลังการผลิตรวม 2.95 ล้านลิตรต่อวัน ผลิตจริงเพียง 1.4 ล้านลิตรต่อวัน โดยเป็นระกับการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศที่มีประมาณวันละ 1.8 ล้านลิตร

ผู้ผลิตเอทานอลเหล่านั้นลงทุนเพราะมั่นในใจนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนของรัฐบาล การเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมของเอทานอลมีส่วนยกระดับราคาอ้อย และมันสำปะหลังให้สูงขึ้น เพราะถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล เมื่อนโยบายพลังงานทดแทนถูกฉีกทิ้ง ผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต ทั้งที่เป็นกลุ่มทุนอย่างโรงงานเอทานอล และเกษตรกรชาวไร่อ้อย ไร่มัน ก็ต้องได้รับความเดือนดร้อนไปทั่ว

รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานนายพิชัย นริพทะพันธุ์ จะยืนยันว่าการงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันนี้จะทำเพียงชั่วคราว 1 ปี แต่กระบวนการผลิต การลงทุน การจัดการของปั๊มน้ำมัน โรงงานเอทานอล แม้แต่ไร่อ้อย และมันสำปะหลัง ต้องมีความต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาเหมือนนโยบายที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียงได้ นายพิชัยเองเป็นถึงรัฐมนตรีกระทนรวงพลังงาน ยังบอกไม่ได้ว่า ที่ว่าชั่วคราวนั้นจะเป็นกี่เดือนก็ยังไม่รู้ แล้วจะให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบว่างแผนรับมืออย่างไร

คำพูดของนายพิชัยที่ว่า ขอให้ประชาชนช่วยกันใช้แก๊สโซฮอล์เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรนั้นก็เป็นการยอมรับอยู่ในตัวว่า การลดราคาน้ำมันเบนซินครั้งนี้ ผลที่จะตามมาคืออะไร และเป็นคำพูดที่ขัดแย้งกับการกระทำของตัวเอง เพราะถ้าจะให้ประชาชนใช้แก๊สโซฮอล์แล้วจะลดราคาน้ำมันเบนซินทำไม ถ้าอ้างว่าลดราคาน้ำมันเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากภาวะค่าครองชีพ แล้วะจะเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันใช้แก๊สโซฮอล์ทำไม

มาตรการลดราคาน้ำมัน โดยการงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเป็นผลงานชิ้นแรกของรัฐบาลโคลนนิ่งที่ทำทันที แต่เมื่อทำแล้วก็ส่งผลให้อุตสาหกรรมพลังงานทดแทนพังทันทีเหมือนกัน เช่นเดียวกับนโยบายหาเสียงอื่นที่สัญญาว่าจะ “ทำทันที” หากทำเมื่อไรรับรองว่าพังเมื่อนั้น เพราะไม่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ และผลที่จะตามมา เช่น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่นับว่าเป็นโชคดีของประเทศไทยที่รัฐบาลโกหกในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับนโยบายถมทะเลสร้างเมืองใหม่ ที่ตอนหาเสียงบอกว่าทำทันที เมื่อได้รับเลือกตั้งกลายเป็นขอศึกษาก่อน และถ้ารัฐบาลเริ่มใช้นโยบายจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ทันทีเมื่อไร สิ่งที่จะพังทันทีเหมือนอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน คือการส่งออกข้าวของประเทศไทย

source:http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9540000108624

"มีพลัง" Reality Movie (ติ๊ก เจษฎาภรณ์)




สัมภาษณ์ รมว. พลังงาน



โรงไฟฟ้าถ่านหิน ภัย"เขาหินซ้อน"


"พนมสารคาม" และ "สนามชัยเขต" 2 อำเภอ จ.ฉะเชิงเทรา มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีคลองหลักอยู่ 2 สาย คือ คลองท่าลาด กับคลองสียัด ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นปลูกข้าว สวนมะม่วง ไร่มันสำปะหลัง เพาะเห็ด

แต่แล้วเมื่อปีพ.ศ.2550 เริ่มมีแผนผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน 600 เมกะวัตต์ โดยใช้ถ่านหิน ตั้งอยู่ใน ต.เขา หินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับการขยายฐานการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมที่จะเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่กลุ่มโรงงานนี้มีอยู่แล้ว อาทิ โรงงานผลิตกระดาษ โรงผลิตไม้อัด โรงผลิตแป้งมัน โรงหลอมเหล็ก อีกทั้งกลุ่มโรงงานก็มีโรงไฟฟ้าชีวมวลอยู่แล้ว 2 โรง ที่ป้อนพลังงานให้

ต่อมาปีพ.ศ. 2552 รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ผ่านความเห็นชอบจากสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ชาวบ้านในพื้นที่กังวลว่าจะ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จึงคัดค้าน โดยส่งหนังสือไป ยังหน่วยงานราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทบทวนโครงการด่วน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ หรือเอชไอเอ

ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ถือเป็น 1 ใน 11 โครงการ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 67 วรรคสอง กำหนดให้ต้องประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรืออีเอชไอเอ

ถัดมาผู้ผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน จัดเวทีทบทวนร่างรายงานการประเมินผลอีเอชไอเอ แต่ยังไม่ส่งเรื่องไปยัง สผ. ขณะที่ฝ่ายชาวบ้านเสนอให้ประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชน จนนำมาสู่การจัดเวที "แลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อค้นพบเบื้องต้น" จากการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชน โดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)

โดยมีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ หน่วยงานรัฐ ร่วมรับฟัง จากการประเมินเบื้องต้นพบว่า โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน อาจทำให้ชุมชนเกษตรอินทรีย์ สวนมะม่วงในพื้นที่ล่มสลาย และอาจเกิดกรณีพิพาทแย่งน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค

ส่วนพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในรัศมี 5 ก.ม. อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษทางน้ำ พื้นดิน อากาศ ซึ่งมลพิษทางน้ำเป็นปัญหาที่ชาวบ้านกังวลมาก และยิ่งวิตกหากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ เจ้าของโครงการก็พร้อมที่จะขุดอ่างเก็บน้ำขนาด 11 ลูกบาศก์เมตร เพื่อใช้ในกิจการทันที ทั้งที่ขณะนี้ภายในพื้นที่โรงงานมีอ่างเก็บน้ำ 5 ลูกบากศ์เมตร

"อากาศ น้ำ ไม่มีอะไรกั้น มีน้ำเสียปล่อยมาตลอด ยิ่งถ้าใช้ถ่านหินน้ำจะปนเปื้อนมากเกิดหายนะแน่นอน โรงงานมีท่อสูบน้ำขนาดใหญ่สูบน้ำจากคลองสาธารณะไปใช้ พอถึงหน้าแล้งคลองก็แห้ง ชาวบ้านไม่รู้จะเอาน้ำมาจากไหน" เสียงสะท้อนจากการแลกเปลี่ยนความเห็นของชาวบ้านในพื้นที่

นายไมเคิล คอมมันส์ อายุ 40 ปี ชาว อเมริกัน อาศัยและทำการเกษตรอยู่ที่ อ.พนมสาร คาม มาแล้ว 3 ปี ร่วมสะท้อนว่า ในต่างประเทศพื้นที่ที่ชุมชนไม่เข้มแข็งจะถูกรังแก แม้เป็นคนต่างชาติแต่รักประเทศไทย คิดว่ามีทรัพยากรที่ดีมากควรรักษาสมดุล การใช้ถ่านหินทำให้โลกร้อน เคยไปมาหลายประเทศเมื่อมีโรงไฟฟ้าถ่าน หินไม่มีที่ใดอากาศเหมือนเดิมหรือบางคนที่ ไม่สู้อาจคิดว่าหายใจไม่ออกแต่มีงานทำแบบนั้นเอาหรือเปล่า

ขณะที่ น.พ.วิพุธ พูลเจริญ ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ สช. กล่าวว่า การทำประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชน เป็นการนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการอนุมัติอีไอเอ พิจารณา และชาวบ้านยังไปฟ้องศาลปกครองได้ หากไม่มีการปฏิบัติ หรือไม่ดูแล จะนำไปสู่การยุติโครงการได้

"ผมมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างชาวบ้านกับโรงงาน ข้อมูลจากการประเมินจะช่วยให้การพิจารณามีความสมบูรณ์ เท่ากับเป็นการช่วยโรงงานด้วยที่ให้เกิดความถูกต้องก่อน จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง การลงทุนในยุคสมัยที่เป็นประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วมกับภาคประชาชนต้องโปร่งใส" น.พ.วิพุธ กล่าว

ขณะเดียวกัน จากการที่เจ้าหน้าที่ นักวิชาการ สช. ลงพื้นที่สวนมะม่วง ต.เขาหินซ้อน ของนางตรีเนตร เข็มมาลัย เมื่อไปถึงพบว่าต้นมะม่วงบางส่วนถูกโค่นไปแล้ว เพราะไม่ติดผล

นางตรีเนตร แสดงความกังวลว่า หากสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน สถานการณ์จะยิ่งแย่ลง เพราะขนาดปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าชีวมวล เพียง 2 โรง ก็ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรมีปัญหา ถ้าสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขึ้นมาอีกคงไม่สามารถปลูกมะม่วงได้เหมือนเดิม

"ทุกวันนี้มะม่วงออกดอก แต่ไม่ติดผล โค่นไป 41 ไร่แล้ว หลือไว้ 13 ไร่ ปัญหาเพิ่งจะเป็นมา 4-5 ปี ไร่มะม่วงอยู่ในทิศทางลมที่พัดมาจากโรงงานโดยตรง มันจึงเป็นปัญหา ตอนนี้ก็เริ่มปลูกยางแทนแล้ว เพราะคิดว่าน่าจะทนกว่ามะม่วง สู้ไม่ไหวเพราะเมื่อก่อนจะได้ 700,000-800,000 บาทต่อปี ระยะหลังขาดทุนบ้างได้ 300,000-400,000 บาทต่อปี" นางตรีเนตร กล่าว

นอกจากนี้ คณะเดินทางไปยังตรวจสอบพื้นที่เกษตรอินทรีย์ แปลงเห็ดฟาง ที่มีอยู่ทั่วพื้นที่ ต.เขาหินซ้อน จากผ่านมาทั้งหมดเป็นผลผลิตที่มีคุณภาพ ส่งออกทั้งในและต่างประเทศ แต่ขณะนี้เกษตรกร และชาวบ้าน กังวลว่าหากสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่ ผลผลิตทั้งหมดจะได้รับกระทบไปด้วย

นี่เป็นอีกตัวอย่างที่กลุ่มชาวบ้านเอง ต้องใช้ช่องทางตามกฎหมายขับเคลื่อนต่อสู้กับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชุมชน สุขอนามัย และสิ่งแวดล้อม

source:http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROb1lYQXdNakk0TURnMU5BPT0%3D&sectionid=TURNeE53PT0%3D&day=TWpBeE1TMHdPQzB5T0E9PQ%3D%3D

เปิดโปงน้ำมันเถื่อนสนับสนุนเงินโจรใต้

แฉขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนสนับสนุนเงินให้โจรใต้ แถมระบุมีการจ่ายส่วยให้หลายหน่วยงานรัฐ

จากกรณี สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือที่ปรึกษาศูนย์บริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต) ได้เรียกร้องให้ศอ.บต.จับกุม กวาดล้างขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการเร่งด่วน โดยให้เหตุผลว่าการค้าน้ำมันเถื่อนสร้างความเสียทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ทำให้รัฐสูญเงินภาษีวันละ 21 ล้านบาท และเงินกำไรจากการค้าน้ำมันเถื่อนยังถูกส่งให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้ในการก่อการร้ายใน 4 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ สงขลา


ความคืบหน้า เมื่อวันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจเดลินิวส์ได้รับการเปิดเผยจาก พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า การค้าน้ำมันเถื่อนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาทับซ้อนที่เกิดขึ้น เนื่องจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน มีความสัมพันธ์กับขบวนการแบ่งแยกดินแดน และเงินกำไรจากการค้าน้ำมันเถื่อนถูกส่งให้กับขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพื่อใช้ในการก่อความไม่สงบ เช่น การวางระเบิด การฆ่ารายวัน ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนมี.ค.45 เป็นต้นมา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้จับกุมผู้ต้องหา 70 กว่าราย ยานพาหนะกว่า 40 คัน และน้ำมันของกลางจำนวนมาก โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา กำลังทหารสามารถจับกุมเรือประมงดัดแปลง 13 ลำ ขณะลำเลียงน้ำมันจากประเทศเพื่อนบ้านในแม่น้ำสุไหงโก-ลก อ.ตากใบ จ.นราธิวาส โดยสามารถจับผู้ต้องหา 20 คน รถ 6 ล้อบรรทุกน้ำมัน ที่รออยู่ชายฝั่ง 1 คัน และยึดน้ำมันจำนวนมาก โดยเรือบางลำใช้เอกสารปลอมว่าเป็นน้ำมันที่ประมูลได้จากศุลกากร อ.ตากใบ บางลำแสดงใบเสร็จเสียภาษีปลอม โดยเรือที่ขบวนการใช้ในการขนน้ำมันเถื่อนในอ.ตากใบ เป็นเรือประมงดัดแปลง ที่มีระวางบรรทุกน้ำมัน 15,000-18,000 ลิตร


ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่าขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นขบวนการที่เชื่อมโยงกัน มีทั้งนักการเมือง และผู้นำท้องถิ่น ร่วมมือกับผู้มีอิทธิพล นำเข้าน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็นน้ำมันเบนซินเป็นส่วนใหญ่ ส่งจำหน่ายไปทั่วในจังหวัดภาคใต้ จากการสอบสวนผู้ถูกจับทราบว่า บางส่วนมีการบรรทุกน้ำมัน ด้วยรถ 10 ล้อ และรถ 18 ล้อ ส่งไปยังภาคกลาง ที่ผ่านมาการจับกุมยังไม่ได้ผล เพราะเมื่อจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ได้ แนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน จะตอบโต้เจ้าหน้าที่ด้วยการ ก่อวินาศกรรม หรือฆ่าชาวบ้านเป็นการตอบโต้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หยุดการป้องกันและปราบปราม รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆในพื้นที่ ยังไม่มีความพร้อมในการจับกุม ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาทับซ้อนเหล่านี้ให้เป็นผลสำเร็จ


แหล่งข่าวความมั่นคงได้เปิดเผยบัญชีรายชื่อขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ที่ให้การสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าเท่าที่สืบทราบ มีดังนี้ 1.เครือข่ายผู้นำท้องถิ่น มีโกดังเก็บน้ำมันในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำสุไหงโก-ลก ในเขต อ.ตากใบ จำนวน 3 โกดัง มีรถบรรทุกน้ำมันเถื่อน 15 คัน วิ่งบรรทุกน้ำมันส่งขายให้กับผู้ต้องการตลอด 24 ชั่วโมง 2.เครือข่ายของนักธุรกิจน้ำมันเถื่อน และพ่อค้าของเถื่อน ใน จ.ปัตตานี มีเรือดัดแปลงบรรทุกน้ำมัน 50,000 ลิตร 5 ลำ มีรถบรรทุก 15 คัน และมีโกดังเก็บน้ำมันในเขต อ.เมืองปัตตานี 4 แห่ง 3. เครือข่ายกลุ่มค้าของเถื่อนใน จ.ยะลา มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นผู้ให้ความคุ้มครอง มีโกดังเก็บน้ำมันเถื่อนที่ อ.ตากใบ 2 แห่ง และอ.เมืองยะลา 1 แห่ง มีรถบรรทุกน้ำมัน เพื่อใช้ในการขนถ่าย 10 คัน 4. กลุ่มของแนวร่วมคุมพื้นที่ อ.แว้ง อ.สุคิริน อ.จะแนะ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส มีโกดังเก็บน้ำมัน ใกล้กับด่านศุลกากรบูเกะตา อ.แว้ง 5. เครือข่ายของนักการเมืองท้องถิ่นบางคนใน จ.สงขลา และ 6. เครื่อข่ายข้าราชการ นักการเมือง และพ่อค้าบางคน ใน จ.สตูล


ผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจเดลินิวส์ได้รับการเปิดเผยว่า การค้าน้ำมันเถื่อนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีอยู่ 2 แบบ คือ ทางบก โดยการใช้รถกระบะดัดแปลง ติดแท็งค์น้ำมัน ตั้งแต่ 2,000 -3,000 ลิตร และการค้าทางทะเล โดยมีเรือประมงดัดแปลง บรรทุกน้ำมันจากเรือบรรทุกน้ำมันกลางทะเล นำส่งยังชายฝั่งอ่าวไทย ตั้งแต่ จ.นราธิวาส ปัตตานี สงขลา สุราษฎร์ธานี โดยแต่ละวันจะมีน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ถูกขนเข้ามาจำหน่ายกว่า 3 ล้านลิตร โดยกว่าร้อยละ 80 เป็นน้ำมันเบนซิน ที่เหลือเป็นน้ำมันดีเซล การนำเข้าน้ำมันเถื่อนจำนวนกว่า 3 ล้านลิตรต่อวัน ทำให้รัฐเสียหายทางด้านภาษี เนื่องจากต้องขาดเงินภาษีลิตรละ 7 บาท ดังนั้นจึงเสียหายวันละ 21 ล้านบาท จากการกระทำของขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนที่เกิดขึ้นกว่า 2 ปี ที่ผ่านมา


ส่วนการลดเงินชดเชยของรัฐบาล ที่ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินลดลงลิตรละ 7 บาท และดีเซลลดลงลิตรละ 3 บาท ไม่ได้ทำให้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนหยุดลงแต่อย่างใด เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศเพื่อนบ้านยังมีส่วนต่างอยู่มาก เช่น น้ำมันเบนซินในประเทศเพื่อนบ้านลิตรละ 19 บาท ดีเซลลิตรละ 17 บาท ซึ่งขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนนำน้ำมันเบนซินมาส่งให้กับผู้ต้องการในประเทศลิตรละ 30 บาท ยังถูกกว่าราคาน้ำมันหน้าปั๊มถึงลิตรละ 5 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลมีการส่งขายในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ลิตรละ 23 บาท ในขณะที่ราคาในปั๊มน้ำมันอยู่ที่ 27 บาท จากราคาที่แตกต่างกัน จึงเป็นเหตุให้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเงินกำไรส่วนหนึ่งนอกจากต้องส่งให้กับขบวนการแบ่งแยกดินแดนแล้ว อีกส่วนหนึ่งยังต้องจ่ายเป็นส่วย ให้กับเจ้าหน้าที่ 5 หน่วยงานในพื้นที่ เพื่อเปิดไฟเขียวให้ขนน้ำมันเถื่อน



source: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=160219&categoryID=8

กฟผ.โชว์แนวทางผลิตไฟฟ้า หนุนพลังงานทางเลือกต้องเกิด

ปัจจุบันการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย ถือว่ามีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของประชาชน ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. นับเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตไฟฟ้า เพื่อประชาชนได้ใช้อุปโภคและบริโภค แต่การผลิตไฟฟ้านั้นก็ต้องมีข้อจำกัดในการผลิต และหากในหนึ่งทรัพยากรที่ใช้ผลิตไฟฟ้าหมดลงแล้วประเทศไทยจะมีแผนรองรับอย่างไร วันนี้ กฟผ.ได้นำสื่อมวลชนเดินทางไปยังสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโรงไฟฟ้าต่างๆ “บ้านเมือง” ขอนำเสนอรายละเอียดดังกล่าว

คิดแผนรองรับผลิตไฟฟ้า
นายธวัช วัจนะพรสิทธิ์ รองผู้ว่าการกิจการสังคมและสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงแผนการผลิตพลังงานไฟฟ้าในปี 2553 ที่ผ่านมา ว่า ในส่วนของพลังงานทดแทน 1.38% พลังงานพลังน้ำ 3.34% น้ำมันเตา 0.55% ถ่านหินนำเข้า 7.36% ดีเซล 0.05% ลิกไนต์ 10% ส่วนก๊าซธรรมชาติ 72.81% อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า แหล่งก๊าซในอ่าวไทยนั้นมีโอกาสจะหมดไปซึ่งต้องมีการหาแหล่งพลังงานใหม่ในการผลิต ซึ่งขณะนี้ กฟผ.อยู่ระหว่างการคิดพัฒนาพลังงานเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา กฟผ.ได้ให้ความสนใจสำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานขยะ โดยเป็นเรื่องที่น่าจะมีการส่งเสริมพลังงานขยะมาผลิตเป็นพลังงานกระแสไฟฟ้า โดยได้ตั้งเป็นการผลิต 15 ปี แต่ขณะนี้ประชาชนยังไม่เข้าใจในการใช้พลังงานดังกล่าว ซึ่งขณะนี้เราได้มอบให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ทำการศึกษาโดยการแบ่งประเภทขยะ ว่าขยะประเภทใดสามารถดำเนินการได้ แต่ที่ผ่านมาแผนดังกล่าวประชาชนยังไม่ยอมรับ อย่างไรก็ตาม หากสามารถทำความเข้าใจต่อประชาชนให้ยอมรับได้ กฟผ.ก็พร้อมดำเนินการ

ทั้งนี้ ขยะเชื้อเพลิง คือขยะมูลฝอยที่ผ่านกระบวนการจัดการต่างๆ ประกอบด้วย การคัดแยกวัสดุที่เผาไหม้ได้ออกมา การฉีกหรือตัดขยะมูลฝอยออกเป็นชิ้นเล็กๆ ขยะเชื้อเพลิงที่ได้นี้จะมีค่าความร้อนสูงกว่าหรือมีคุณสมบัติเป็นเชื้อเพลิงที่ดีกว่าการนำขยะมูลฝอยที่เก็บรวบรวมมาใช้โดยตรง เนื่องจากมีองค์ประกอบทั้งทางเคมีและกายภาพสม่ำเสมอกว่า ข้อดีของขยะเชื้อเพลิง คือ ค่าความร้อนสูง (เมื่อเปรียบเทียบกับขยะมูลฝอยที่เก็บรวบรวมมา) ง่ายต่อการจัดเก็บ การขนส่ง การจัดการต่างๆ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ ส่วนวิธีการใช้ประโยชน์จากขยะเชื้อเพลิง การใช้ RDF นั้น ทั้งเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าและความร้อน โดยที่อาจจะมีการใช้ RDF เป็นเชื้อเพลิงภายในที่เดียวกัน หรือมีการขนส่งในกรณีที่ตั้งของโรงงานไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน ทางเลือกอีกทางหนึ่งก็คือ นำไปใช้เผาร่วมกับถ่านหิน เพื่อลดปริมาณการใช้ถ่านหินลง อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น อุตสาหกรรมซีเมนต์ ได้มีการนำ RDF ไปใช้ในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ ทำให้ลดการใช้ถ่านหินลงไปได้

แจงสัดส่วนพลังงาน
นายธวัช กล่าวว่า สำหรับประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงประเภทต่างๆ ประกอบด้วย พลังน้ำ 50% ชีวมวล 38% ก๊าซชีวภาพ 31% ขยะ 22% แสงอาทิตย์ 19% พลังงานลม 15% ส่วนเป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนประกอบด้วยแสงอาทิตย์มีศักยภาพ 50,000 เมกะวัตต์ พลังงานลม 1,600 เมกะวัตต์ พลังน้ำ 700 เมกะวัตต์ ชีวมวล 4,400 เมกะวัตต์ ก๊าซชีวภาพ 190 เมกะวัตต์ และพลังงานขยะ 400 เมกะวัตต์

สำหรับต้นทุนค่าก่อสร้าง และการผลิตไฟฟ้าโดยแบ่งเป็นประเภทเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้า ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ มีต้นทุนค่าก่อสร้าง 26.9 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ โดยมีราคาต้นทุนการผลิต 2.88 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าถ่านหินนำเข้า มีต้นทุนค่าก่อสร้าง 55.2 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ โดยมีราคาต้นทุนการผลิต 2.56 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มีต้นทุนค่าก่อสร้าง 117.4 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ โดยมีราคาต้นทุนการผลิต 2.46 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ มีต้นทุนค่าก่อสร้าง 122.5 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ โดยมีราคาต้นทุนการผลิต 0.67 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าน้ำมันเตา มีต้นทุนค่าก่อสร้าง 50.5 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ โดยมีราคาต้นทุนการผลิต 6.16 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าน้ำมันดีเซล มีต้นทุนค่าก่อสร้าง 15.5 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ โดยมีราคาต้นทุนการผลิต 11.62 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก มีต้นทุนค่าก่อสร้าง 70 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ โดยมีราคาต้นทุนการผลิต 2-10 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าลม มีต้นทุนค่าก่อสร้าง 60-85 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ โดยมีราคาต้นทุนการผลิต 5-6 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ มีต้นทุนค่าก่อสร้าง 80-125 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ โดยมีราคาต้นทุนการผลิต 10-13 บาทต่อหน่วย และโรงไฟฟ้าชีวมวล มีต้นทุนค่าก่อสร้าง 40-70 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ โดยมีราคาต้นทุนการผลิต 3-3.5 บาทต่อหน่วย

ไทยต้องจัดการเรื่องพลังงาน
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาในส่วนของสาธารณรัฐเกาหลีนั้น มีทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำขึ้น-น้ำลงนั้น สิ่งที่เราอยากได้ในขณะนี้ก็คือ โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งขณะนี้เรามีพลังงานก๊าซในอ่าวไทยก็จริง แต่ประมาณ 10-15 ปีนี้ มีความเป็นไปได้ว่าแหล่งพลังงานดังกล่าวอาจจะหมดไป ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นอาจจะต้องมีการใช้พลังงานก๊าซแอลเอ็นจี ซึ่งเป็นพลังงานที่ต้นทุนสูงอย่างแน่นอน แต่ถ้าเราเลือกใช้พลังงานที่เกิดจากถ่านหินนั้น อาจจะมีค่าก่อสร้างที่แพง แต่เชื้อเพลิงในการผลิตนั้นต้นทุนถูกและคุ้มค่า ซึ่งการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น ประเทศไทยในอนาคตก็อาจจะมีโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่ม แต่สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น มีความเป็นไปได้ยากมากซึ่งจะต้องผ่านการเห็นชอบถึง 3 รัฐบาลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงจะเกิด

“ในส่วนของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ สำหรับประเทศไทยนั้นตอนนี้ยังเกิดไม่ได้แน่นอน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งคิดว่าหากจะสามารถสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้นั้น รัฐบาลจะต้องให้ความสนใจแบบจริงจัง โดยต้องผ่านการเห็นชอบถึง 3 รัฐบาล โดยเป็นแผนระยะยาวถึง 12-13 ปี รวมถึงต้องให้ความเข้าใจและความเชื่อกับชาวบ้านได้เพื่อให้เกิดความยอมรับ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของประเทศเกาหลีที่สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้นั้น เนื่องจากประชาชนให้การยอมรับโดยมีการอธิบายว่าถึงแม้จะอันตรายเราสามารถทำได้เพราะมีการควบคุม และรัฐบาลมีความจริงจังที่จะช่วยเหลือเงินชดเชยและสวัสดิการ นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายใหม่เพื่อรับรองโดยเฉพาะอีกด้วย ซึ่งอีกประเทศหนึ่งที่ให้ความสนใจกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เช่นกัน ก็คือประเทศจีน โดยคาดว่าอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศจีนจะทำโรงไฟฟ้านิเคลียร์อย่างแน่นอน”

สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินที่สาธารณรัฐเกาหลีนั้น มีกำลังผลิตเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วงแรกในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านั้น ก็มีการต่อต้านจากกลุ่มองค์การพัฒนาภาคเอกชน หรือเอ็นจีโอ แต่ขณะนี้ไม่มีการต่อต้านจากกลุ่มดังกล่าวแล้ว รวมถึงปัญหาต่างๆ ก็สามารถแก้ไขให้จบลงด้วยได้ ซึ่งรัฐบาลให้ความช่วยเหลือประชาชน ซึ่งประชาชนรอบโรงไฟฟ้านั้นมีประมาณ 4,000 คน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของประเทศไทยนั้น ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเข้มงวดเรื่องของการควบคุมดูแลเหมือนเกาหลี ทั้งนี้แม้ว่าประเทศไทยจะมีโรงไฟฟ้าประเภทถ่านหินที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะแล้ว แต่ขณะนี้ก็ยังมีชาวบ้านรอบโรงไฟฟ้า รวมถึงกลุ่มเอ็นจีโอยังมีการต่อต้าน

จ่อทบทวนแผนโรงไฟฟ้า
ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้มีแผนที่จะทบทวนการพัฒนาไฟฟ้าระยะยาว (20 ปี) ภายหลังที่มีการแถลงนโยบายกระทรวงพลังงานเป็นที่เรียบร้อย โดยเฉพาะเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยจะต้องมีการศึกษาเรื่องเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบเรื่องพลังงาน รวมถึงเพื่อรองรับหากมีการต่อต้านจากประชาชน และกลุ่มเอ็นจีโอ

นอกจากนี้ ในส่วนของยุทธศาสตร์พลังงานทดแทนนั้น พลังงานที่นำมาใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถแบ่งตามแหล่งที่ได้มาเป็น 2 ประเภท คือ พลังงานทดแทนจากแหล่งที่ใช้แล้วหมดไป หรือพลังงานสิ้นเปลือง ประกอบด้วย ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ นิวเคลียร์ เป็นต้น และพลังงานทดแทนอีกประเภทหนึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้แล้วสามารถหมุนเวียนมาใช้ได้อีก หรือพลังงานหมุนเวียน ประกอบด้วย แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล น้ำ ไฮโดรเจน และขยะ เป็นต้น โดยสิ่งเหล่านี้ศักยภาพ และสถานภาพการใช้ประโยชน์ของพลังงานทดแทน การศึกษาและพัฒนาพลังงานทดแทนเป็นการศึกษาค้นคว้า ทดสอบ พัฒนา และสาธิต ตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล และอื่นๆ เพื่อให้มีการผลิต และการใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมทั้งทางด้านเทคนิค เศรษฐกิจ และสังคม

สำหรับผู้ใช้ในเมืองและชนบท ซึ่งในการศึกษา ค้นคว้า และพัฒนาพลังงานทดแทนดังกล่าวยังรวมถึงการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์เพื่อการใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย งานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทน เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องโดยตรงภายใต้แผนงานนี้คือ โครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงาน และมีความเชื่อมโยงกับแผนงานพัฒนาชนบทในโครงการจัดตั้งระบบผลิตไฟฟ้า ประจุแบตเตอรี่ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับหมู่บ้านชนบทที่ไม่มีไฟฟ้า โดยงานศึกษาและพัฒนาพลังงานทดแทนจะเป็นงานประจำที่มีลักษณะการดำเนินงานของกิจกรรมต่างๆ ในเชิงกว้างเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ทั้งในด้านวิชาการเชิงทฤษฎี และอุปกรณ์เครื่องมือทดลอง และการทดสอบ รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนและรองรับความพร้อมในการจัดตั้งโครงการใหม่ๆ ในโครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงานและโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การศึกษาค้นคว้าเบื้องต้น การติดตามความก้าวหน้า และร่วมมือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาต้นแบบ ทดสอบ วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมเบื้องต้น และเป็นงานส่งเสริมการพัฒนาโครงการที่กำลังดำเนินการให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตลอดจนสนับสนุนให้โครงการที่เสร็จสิ้นแล้วได้นำผลไปดำเนินการส่งเสริมและเผยแพร่และการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมต่อไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับปัจจัยความสำเร็จของโครงการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของประเทศนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับความชัดเจนของทิศทาง และนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล รวมถึงการสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ความเข้าใจและการยอมรับของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชน ทั้งนี้ ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าไม่สูงจนเกินไป และเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศเป็นหลัก ทุกอย่างจะสามารถเดินหน้าได้


source: http://www.banmuang.co.th/economic.asp?id=246185

พลังงานแก้ส่วนต่างราคาเบนซิน-โซฮอล์

รมว.พลังงานเร่งแก้ส่วนต่างราคาเบนซินกับโซฮอล์ รัฐบาลเอาแน่ตั้งกองทุนความมั่นคงแห่งชาติ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องส่วนต่างราคาแก๊สโซฮอล์กับราคาน้ำมันเบนซินธรรมดาโดยเร็วที่สุดตามที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการ หลังมีการปรับลดเงินจัดเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของเบนซินและดีเซล ซึ่งจะมีการประชุมคณะทำงานเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายโดยเร็วที่สุด

เบื้องต้นได้ให้ ปตท. และ บางจากปรับลดราคาแก๊สโซฮอล์ลงลิตรละ 60 สต.มีผลในวันพรุ่งนี้ เพื่อขยายส่วนต่างในระดับหนึ่งก่อน ส่วนข้อเสนอแนะที่ว่าส่วนต่างระหว่างแก๊สโซฮอล์กับน้ำมันเบนซินควรจะอยู่ที่ 2.50 บาท/ลิตร เป็นข้อเสนอทางหนึ่งแต่ต้องดูรายละเอียดให้ครบทุกด้านค่อยหาตัวเลขที่เหมาะสมออกมา

ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันว่าการปรับลดเงินเข้ากองทุนน้ำเป็นนโยบายช่วยเหลือประชาชนในระยะสั้น แต่ระยะยาวยังยืนว่าจะส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และจะเป็นนโยบายหลักที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานทดแทน

ส่วนเรื่องกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมา สมัยเลห์แมน บราเธอร์ล้มละลาย แต่การดำเนินการต้องรับฟังความคิดเห็นต่างๆ และ ทุกภาคส่วนสามารถมีข้อเสนอแนะออกมาได้

นายพิชัย กล่าวว่า การลงทุนในแหล่งพลังงาน ถือเป็นทางเลือกเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานเป็นหลัก เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีที่หากประเทศไทยเกิดสภาวะไม่สามารถจัดหาแหล่งพลังงาน แหล่งน้ำมัน แหล่งไฟฟ้าได้ แต่เรายังสามารถมีแหล่งพลังงานได้เพียงพอต่อความต้องการใช้พลังงานของประเทศไทย

source:http://www.posttoday.com/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94/107769/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B8%AE%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%8C

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เปิดตัว'บัณฑูร'เลขายิ่งลักษณ์เพื่อนสนิท'ทักษิณ'

เปิดตัว'บัณฑูร สุภัควณิช'เลขาธิการนายกฯมาจากกาฬสินธุ์ แต่เพื่อนสนิท'ทักษิณ'ตั้งแต่สมัยเรียนม.อีสเทิร์นเคนทักกี

"เลขาธิการนายกฯ
หากจะไปเที่ยว "กาฬสินธุ์" นักเดินทางรุ่นใหม่ๆ อาจคุ้นเคยกับไดโนเสาร์ภูขุมข้าว แต่คนรุ่นเก่า คงไม่พลาด จะต้องเข้าพักที่ "สุภัคโฮเต็ล" บริเวณวงเวียนน้ำพุ ใกล้จวนผู้ว่าราชการจังหวัด

สุภัคโฮเต็ล เป็นโรงแรมแห่งแรกในจังหวัดกาฬสินธุ์ แต่น้อยคนนักจะทราบว่าเป็นธุรกิจในกงสีของตระกูล "สุภัควณิช"
แม้สุภัคโฮเต็ล จะเป็นโรงแรมขนาดเล็ก แต่ก็มีความคลาสสิกในแง่ของความสัมพันธ์เชิงอำนาจของ "กลุ่มทุนจีนภูธร" กับ "รัฐส่วนกลาง" ที่ประจำท้องถิ่น เนื่องจากที่โรงแรมแห่งนี้ มีสโมสรสำเริงสำราญใจให้แก่บรรดาข้าราชการทุกแขนง
มันคือภาพจำลองการเมืองระดับชาติที่ย่อส่วนอยู่ในจังหวัดเล็กๆ และภาพนั้น เด็กชายคนหนึ่งได้รับรู้เรื่องราวมาตั้งแต่เป็นนักเรียนขาสั้น
จาก พ.ศ.โน้น มาถึงวันที่ประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรีหญิง บัณฑูร สุภัควณิช ทายาทตระกูลคหบดีเก่าแก่เมืองน้ำดำ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น "เลขาธิการนายกรัฐมนตรี"

"บัณฑูร" เป็นลูกชายคนโตของ บุญชิต-เทียมทัด สุภัควณิช ซึ่งบิดาของบัณฑูร จัดว่าเป็นพ่อค้าชาวจีน ที่มีบทบาทเป็นผู้นำใน "สมาคมพ่อค้าจังหวัดกาฬสินธุ์"
หลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยมต้นที่บ้านเกิด บุญชิต-บิดาก็ส่ง "บัณฑูร" เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี 2514
ปี 2515-16 บัณฑูร เดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกี

ในเวลาไล่เลี่ยกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26 (พ.ศ.2516) ได้รับทุน ก.พ. เดินทางมาศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขากระบวนการยุติธรรม ที่มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกีเช่นกัน นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่าง "บัณฑูร" กับ "ทักษิณ" ซึ่งทอดยาวจากวันนั้นจวบจนวันนี้!

ว่ากันว่า "อีสเทิร์นเคนทักกีคอนเนกชั่น" คือความสัมพันธ์อันแนบแน่นของทั้งสองคน และมีส่วนช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด แถมยังเพิ่มความล้ำลึกเข้าไปอีกในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี และบัณฑูร เป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
บนเส้นทางสายราชการ บัณฑูร สุภัควณิช เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์งบประมาณส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ปี 2537 เป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (ปี 2545-2550) และเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (ปี 2551-2552)
ตระกูลสุภัควนิช ไม่เคยมีใครที่กระโจนสู่สนามการเมืองเหมือนอย่างตระกูลพ่อค้ากาฬสินธุ์คนอื่นๆ แต่ "บัณฑูร" เป็นคนแรกของตระกูลที่เล่นการเมือง โดยเปิดตัวเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ
ชื่อของบัณฑูร ได้รับการคาดหมายว่าจะได้นั่งเก้าอี้เลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่แรก
นัยว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประสงค์ที่จะให้ "ลูกหม้อสำนักงบประมาณ" มานั่งในตำแหน่งที่สื่อมวลชนมักเรียกขานว่า "นายกฯ น้อย"

หากเปรียบเทียบ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สมัยแรกของอดีตนายกฯ ทักษิณ กับ "บัณฑูร" เลขานายกฯของยิ่งลักษณ์ มีความเหมือนกัน ตรงที่เป็น "คนทำงานเก่ง" มีภาพความเป็นนักการเมืองน้อย
ความเป็นคนดีมีฝีมือในระบบราชการ กำลังถูกท้าทายด้วย "การเมืองแบบชินวัตร" อีกครั้ง ทายาทเสี่ยบุญชิตเมืองกาฬสินธุ์ เตรียมความพร้อมไว้รับมือแค่ไหน?

 

source: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20110828/406801/เปิดตัวบัณฑูรเลขายิ่งลักษณ์เพื่อนสนิททักษิณ.html

เฮอร์ริเคนไอรีนขึ้นฝั่งนอร์ธคาโรไลนาแล้ว

เฮอร์ริเคนไอรีน อาละวาดชายฝั่งตะวันออกสหรัฐฯ สั่งชาวอเมริกันกว่า 2 ล้านอพยพหนี นิวยอร์ค ออกคำสั่งบังคับอพยพ 3 แสน-ปิดระบบรถไฟใต้ดินเป็นครั้งแรก

ศูนย์เตือนภัยเฮอร์ริเคนแห่งชาติสหรัฐฯ ประกาศว่า พายุเออร์ริเคนไอรีน พัดขึ้นฝั่งสหรัฐฯแล้ว ใกล้กับ เคป ลุกเอาต์ รัฐนอร์ธคาโรไลนา ด้วยความเร็วลม 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเช้าวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งแม้อ่อนกำลังลงเป็นเฮอร์ริเคนระดับ 1 แต่ยังคงอันตรายเช่นเดิม

อิทธิพลของเฮอร์ริเคนไอรีน ทำให้มีลมกระโชกแรง ฝนตกหนัก ไฟฟ้าดับกระทบครัวเรือนกว่า 91,000 หลังแถบชายฝั่งของรัฐ รวมทั้งโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

หลังพัดขึ้นฝั่งรัฐนอร์ธคาโรไลนาแล้ว คาดว่าพายุจะเคลื่อนตัวเลียบชายฝั่งตะวันออกไปทางวอชิงตัน นิวยอร์คและบอสตันตามลำดับ เส้นทางที่พายุพัดผ่าน เป็นพื้นที่ที่ประชากรอาศัยประมาณ 65 ล้านคน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม คลื่นทะเลยกตัว (สตอร์มเซิร์จ) ไฟดับและสร้างความเสียหายที่อาจสูงถึง 12,000 ล้านดอลลาร์

ศูนย์เฝ้าระวังเฮอร์ริเคน ได้ประกาศเตือนภัยพายุไอรีน ครอบคลุมตั้งแต่รัฐนอร์ธคาโรไลนา ไปจนถึงนิวยอร์ค และขึ้นเหนือไปยังเกาะ นอกรัฐแมตซาชูเสตซ์ และรัฐต่างๆได้สั่งอพยพประชาชนอย่างน้อย 2.3 ล้านคน โดยเป็นการอพยพในนิวเจอร์ซี 1 ล้านคน, 3.15 แสนคนในแมร์รีแลนด์ , นอร์ธคาโรไลนา 3 แสนคน, เวอร์จิเนีย 2 แสนคน และ 1 แสนคนในเดลาแวร์

นักวิชาการด้านภูมิศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฟลอริดา กล่าวว่า นี่อาจจะเป็นการสั่งอพยพประชาชนเพราะภัยเฮอร์ริเคนลูกเดียวครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

สายการบินสหรัฐฯยกเลิกเที่ยวบินอย่างน้อย 6,100 เที่ยวจนถึงวันจันทร์ เนื่องจากพายุอาจกระทบสนามบินหลายแห่งตั้งแต่วอชิงตันถึงบอสตัน

ชายฝั่งตะวันออกสหรัฐฯไม่มีเฮอร์ริเคนเกิดขึ้นบ่อยนัก ครั้งใหญ่หลังสุดเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีมาแล้ว
นายไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนิวยอร์ค ยังออกคำสั่งให้ประชาชนราว 3 แสนคนในพื้นที่ลาดต่ำ ต้องอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย ภายในเวลา 17.00 ของวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่นิวยอร์คออกคำสั่งบังคับอพยพ เนื่องจากหน่วยฉุกเฉินไม่อาจรับประกันได้ว่า จะเข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ นิวยอร์คยังสั่งปิดระบบรถไฟใต้ดิน ตั้งแต่เที่ยงวันเสาร์ตามเวลาในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ต้องปิดระบบรถไฟใต้ดินใหญ่ที่สุดของประเทศด้วยเหตุผลภัยพิบัติธรรมชาติ

source:http://www.komchadluek.net/detail/20110827/107412/เฮอร์ริเคนไอรีนขึ้นฝั่งนอร์ธคาโรไลนาแล้ว.html




สหรัฐเตือนภัยเฮร์ริเคนไอรีนเพิ่ม5รัฐ

สหรัฐเตือนภัยพายุเฮอร์ริเคน ไอรีน ประกาศภาวะฉุกเฉินเพิ่มอีก 5 รัฐ เตรียมรับฝนตกหนัก ไฟฟ้าดับและน้ำท่วม


สหรัฐได้ยกเลิกเที่ยวบินและการจัดงานต่างๆ ในขณะที่พายุเฮอร์ริเคนไอรีน เคลื่อนตัวเข้าใกล้และคาดว่า พายุอันตรายลูกนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวาง , ไฟฟ้าดับ ฝนตกหนักและน้ำท่วมตั้งแต่นอร์ธ คาไรไลนา ไปจนถึงนิว อิงแลนด์

ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติ ได้ประกาศเตือนภัยพายุเฮอร์ริเคนไอรีน ที่มีความแรงลมในระดับ 3 ในพื้นที่ชายฝั่งของนอร์ธ คาโรไลน่า ตั้งแต่ ลิตเติล รีเวอร์ อินเทล ไปจนถึงพรมแดนด้านที่ติดกับรัฐเวอร์จิเนีย โดยขณะนี้ เฮอร์ริเคนกำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ค่อนไปทางเหนือ ด้วยความเร็วลม 14 ไมล์ต่อชั่วโมง และคาดว่าจะมุ่งหน้าจากหมู่เกาะบาฮาม่าส์ ไปทางเหนือในช่วงเช้าวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น

บริษัทรถไฟแอมแทร็คและสายการบินรายใหญ่ของสหรัฐ ได้เริ่มยกเลิกการเดินรถและเที่ยวบินโดยสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ ได้ยกเลิกเที่ยวบิน 126 เที่ยว เมื่อวันพฤหัสบดี ส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินออกจากไมอามี่ และบาฮาม่าส์ และคาดว่าจะยกเลิกเที่ยวบินเพิ่มอีกในวันนี้ ส่วนการจัดพิธีรำลึกถึงมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่กำหนดจะมีขึ้นในกรุงวอชิงตัน วันอาทิตย์นี้ ก็ถูกเลื่อนออกไปเดือนหน้า

นายเบอร์เวอรี่ เพอร์ดู ผู้ว่าการรัฐนอร์ธ คาโรไลน่า ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายเขตทางตะวันออกของอินเตอร์ สเตท ไนน์ตี้ไฟว์ และเตือนประชาชนให้ตระหนักถึงมหันตภัยที่กำลังจะเกิดขึ้น

คาดว่า พายุไอรีน จะพัดเข้าสู่นอร์ธ คาโรไลน่า เอ๊าเตอร์ แบงค์ ในวันเสาร์นี้ ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าไปยังพื้นที่ส่วนใหญ่ในนอร์ธอีสต์ ในวันอาทิตย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบที่รุนแรงในเขตเมืองต่าง ๆ ในนอร์ธอีสต์ นอกจากนี้ อิทธิพลของพายุ ยังจะทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ 5-10ฟุต ในพื้นที่เตือนภัยพายุเฮอร์ริเคน รวมทั้ง อับเบอมาเล่ และแพมลิโก้ ซึ่งเกรงว่า จะทำให้เกิดความเสียหายเป็นบริกว้าง รวมถึงอันตรายจากคลื่นด้วย

ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติ ได้ประกาศเตือนภัยเฮอร์ริเคน 36 ชั่วโมง ก่อนที่พายุจะพัดเข้าฝั่งด้วยกำลังลมแรงที่คาดจะอยู่ในระดับ 74 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือสูงกว่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการเตือนให้จับตาการเคลื่อนตัวของพายุ ตั้งแต่พรมแดนระหว่างเวอร์จิเนียกับนอร์ธ คาโรไลน่าไปจนถึงแซนดี้ ฮุค รัฐนิวเจอร์ซีย์ รวมทั้ง เดลาแวร์ เบย์ และสมิธ พอยท์ ในเชสสปีเก้ เบย์

ผู้เชี่ยวชาญหลายคน ยังเชื่อว่า มีความเป็นไปได้ ที่พายเฮอร์ริเคนไอรีน จะเพิ่มความแรงลมเป็นระดับ 4 ผู้ว่าการรัฐอีก 5 รัฐ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ได้แก่ คอนเน็คติกัต , นิวยอร์ค , เวอร์จิเนีย , นิวเจอร์ซีย์ และแมรี่แลนด์ ขณะที่พายุเฮอร์ริเคนมีแนวโน้มจะพัดเข้าสู่แนวชายฝั่งแถบอีสเทิร์น ซีบอร์ด ของสหรัฐ รวมทั้ง บางส่วนของนิวอิงแลนด์

source: http://www.komchadluek.net/detail/20110826/107248/สหรัฐเตือนภัยเฮร์ริเคนไอรีนเพิ่ม5รัฐ.html


ทฤษฎี 'สองสูง' ป็อกเด้ง 'ซีพี ออลล์'

 
เคยสงสัยบ้างมั๊ยว่า ทำไม! เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) จึง 'เชียร์' นโยบาย "หว่าน" ของพรรคเพื่อไทย เพราะทฤษฎี 'สองสูง' ของเจ้าสัวธนินท์ คือ 'ป็อกเด้ง' ของ 'ซีพี ออลล์'
 
เพิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า "ทฤษฎีสองสูง" ที่ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกมานานหลายปี สุดท้ายผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็ "เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) นั่นเอง!!

แนวคิด "ทฤษฎีสองสูง" นั้น สูงแรกเน้นว่า "ราคาสินค้าเกษตรจะต้องสูง" เหตุผลอยู่ที่ว่าราคาสินค้าเกษตรจะเป็นแรงขับเคลื่อนตัวสำคัญต่ออุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ภายใต้มุมมองระยะยาวว่าโลกจะไม่มี "ยุคอาหารถูก" และ "น้ำมันถูก" อีกต่อไป การที่ Demand สูง แต่ Supply สินค้าเกษตรผลิตไม่ทันหรือไม่เพียงพอนั่นแปลว่าราคาสินค้าเกษตรจะต้อง "สูง"

สูงที่สอง "รายได้หรือค่าจ้างของประชาชนจะต้องสูง" ซึ่งเข้าล็อกกับนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท แนวคิด "ทฤษฎีสองสูง" จะมุ่งเน้นรายได้ประชาชน 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.เกษตรกรในชนบท (รากหญ้า) ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจะต้องทำให้มีรายได้สูงขึ้น 2. รายได้ข้าราชการและผู้ใช้แรงงานในเมืองก็จะต้องสูงขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดนี้คือแนวคิดเจ้าสัวธนินท์ ที่พรรคเพื่อไทยเขียนเป็นนโยบายหาเสียงและได้รับการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย

อย่าแปลกใจว่าทำไม! เครือซีพีจึงออกมาสบับสนุนนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ผู้บริหารระดับสูงในเครือซีพีแทบทุกหน่วยงานประสานเสียงออกมา "เชียร์" ในเรื่องนี้ และช่วยรัฐบาล "กดดัน" เอกชนรายอื่นกลายๆ

สำหรับการบริหารงานทฤษฎีของเจ้าสัวธนินท์ มองว่า จากนี้จะหมดยุค "ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก" แต่เข้าสู่ยุค "ปลาเร็ว กินปลาช้า" ดังจะเห็นว่าเซเว่นอีเลฟเว่นขยายตัวอย่างรวดเร็วเข้าไปสู่ตัวอำเภอต่างๆในประเทศไทย อำเภอขนาดใหญ่จะมีร้าน 7-11 ถึง 2 แห่ง เพราะเจ้าสัวมองว่านโยบาย "หว่าน" ของรัฐบาล จะทำให้ "รากหญ้า" มี "กำลังซื้อ" มากขึ้น

ปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเครือข่ายร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์ของบริษัทจากนี้จะเป็น “ร้านอิ่มสะดวก” ตามแผนงานจะขยายสาขาปีละ 500 สาขา ทำให้รายได้และกำไรยังคงเติบโตต่อเนื่องทุกปี และจะมุ่งเน้นไปที่ "ต่างจังหวัด" มากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการเติบโตสูงอย่าง "ภาคอีสาน" และจะมุ่งเน้นขยายสาขาแฟรนไชส์มากกว่าเปิดสาขาเอง (จะได้ขยายตัวเร็ว) ปัจจุบันมีสาขาแฟรนไชส์ 52% และทุกปีจะขยายสาขามากกว่าที่บริษัทเปิดเอง 3%

"ที่น่าสนใจคือรายได้จากสาขาแฟรนไชส์ (แต่ละสาขา) มากกว่าสาขาที่บริษัทเปิดเองประมาณ 1% แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการร้านที่ดี ขณะนี้เรายังไม่ลดสปีดในการเปิดสาขาลง คาดว่าภายในปี 2556 จะมีสาขาแตะ 7,000 สาขา และภายในปี 2557 น่าจะมีสาขาแซงหน้าสหรัฐอเมริกาที่เป็นต้นฉบับแฟรนไชส์ โดยเรามีเป้าหมายสำคัญที่ 10,000 สาขาภายใน 5 ปีจากนี้"

ปิยะวัฒน์ เล่าต่อว่า กลยุทธ์สำคัญคือการนำสินค้าใหม่ๆมาวางจำหน่ายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น โดยจะเน้นสินค้าอาหารเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 70% มาเป็น 73% ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ต่อปี เนื่องจากอาหารมาร์จิ้นสูงประมาณ 30% สินค้าทั่วไปอยู่ที่ 10% ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นน้อยกว่าเพียง 0.2% ส่วนงบการตลาดยังคงอยู่ที่ 0.3% ของรายได้รวมเช่นเดิม

สำหรับสินค้าที่จะเพิ่มในร้านเซเว่นจะเน้นผลิตภัณฑ์ในเครือซีพี และจากบริษัทลูกซีพี ออลล์ เป็นหลัก เช่น แซนด์วิชอบร้อน, ขนมจีบซาลาเปา, อาหารกล่อง, เบเกอรี่แบรนด์คัดสรร (Kudsan) เป็นต้น นอกจากนี้ มีแผนขยายขนาดสาขาที่มีศักยภาพ 50-60 สาขาให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับสินค้าใหม่เช่น อาหารเพื่อสุขภาพที่มีมาร์จิ้นสูง ผลิตภัณฑ์ยาเอ็กซ์ต้า รวมถึงขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซรูปแบบ "บีทูซี" รองรับการมาของ 3G พัฒนาระบบจำหน่ายสินค้าผ่านแคทตาล็อกลงในอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทได้ลงทุนศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่จังหวัดลำพูน จะเปิดดำเนินการในปี 2555 หลังจากปีนี้ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าที่ขอนแก่นไปแล้วเมื่อต้นปี รวมถึงมีแผนขยายกำลังผลิตของบริษัทลูก CPRAM รองรับการขายอาหารมากขึ้นในอนาคต

ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า นโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ จะส่งผลดีต่อยอดขายของเซเว่นอีเลฟเว่นอย่างแน่นอน ขณะที่ต้นทุนพนักงานซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสูงสุดยังไม่สามารถประเมินได้ อย่างไรก็ตามพนักงานเซเว่นที่รับค่าแรงต่ำกว่า 300 บาท ปัจจุบันมีสัดส่วนไม่มาก (ส่วนใหญ่ได้สูงกว่า 300 บาทอยู่แล้ว)
“ราคาหุ้น CPALL ขึ้นทันทีเมื่อซีอีโอของเรา (ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์) ออกมาสนับสนุนการเพิ่มค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ เป็นไปได้ว่าอาจทำให้ยอดขายเติบโตขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ”

เป้าหมายในอนาคตของเซเว่น ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทยังคงรอผลการขอใบอนุญาติเปิดร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่ประเทศเวียดนามและมณฑลใกล้กรุงเซี่ยงไฮ้ของจีน ตอนนี้ทำได้แค่รอผลตอบกลับมาจากเจ้าของแฟรนไชส์เท่านั้น

“เรายังตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% ทุกปี รวมถึงยอดขายร้านเดิมเติบโตในระดับ 3-5% ขณะที่เป้าหมายระยะยาวเราต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้อาหารเป็น 74-75% และมีสัดส่วนร้านแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 58%”
สรุปว่าใครได้ประโยชน์สูงสุดจากนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท "เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) ของท่านเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ คือคำตอบ

source:http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20110829/406852/ทฤษฎี-สองสูง-ป็อกเด้ง-ซีพี-ออลล์.html

นายกฯพอใจ“บางระกำโมเดล”

นายกฯ“ยิ่งลักษณ์”ควงคณะครม.ชม“บางระกำโมเดล”เผยพอใจผลงาน สั่งเร่งจ่ายเงินชดเชยให้พื้นที่เกษตรที่เสียหาย100%ทันที
วันนี้ 28 (ส.ค.) ที่ จ.พิษณุโลก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อม นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รมว.ศึกษาธิการ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข เดินทางไปยังที่ว่าการอำเภอบางระกำ เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของศูนย์ปฏิบัติการป้องกันช่วยเหลือฟื้นฟูปัญหาอุทกภัย อ.บางระกำ ตามโครงการ “บางระกำโมเดล” โดยมีนายปรีชา เรืองจันทน์ ผวจ.พิษณุโลก ให้การต้อนรับ และรายงานสรุปสถานการณ์การแก้ปัญหาว่า จ.พิษณุโลกเริ่มเกิดปัญหาอุทกภัยมาตั้งแต่เดือน พ.ค. จนกระทั่งมาเจอพายุนกเต็น ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก ขณะนี้มีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมครอบคลุมทั้งหมด 9 อำเภอ 83 ตำบล 652 หมู่บ้าน ประชาชนเดือดร้อนกว่า 3 หมื่นครอบครัว มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำขณะนี้ถือว่าอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้แล้ว

จากนั้นนายปรีชา ได้รายงานสรุปผลสำเร็จของการแก้ไขปัญหาตามโครงการโมเดลบางระกำ โดยระบุว่าเชื่อว่าจะแก้วิกฤติได้ แต่ถ้าได้เขื่อนขนาดใหญ่สัก 1 เขื่อนก็จะเป็นตัวชี้วัดว่าบางระกำโมเดลได้ผลอย่างแท้จริง เพราะเวลานี้สิ่งที่เราต้องการให้ส่วนกลางสนับสนุนคือแหล่งพักน้ำ จะเป็นวอเตอร์เวย์หรือแก้มลิงก็ได้ นอกจากนี้ยังต้องการงบประมาณในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเพิ่มเติมด้วย เพราะขณะนี้เงินทางราชการที่ผู้ว่าฯ ได้รับ 50 ล้านบาทนั้น ใช้ไปแล้ว 40 ล้านบาท แต่ยังเหลือพื้นที่ที่ยังไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาอีกถึง 5 อำเภอ เงินที่เหลืออีกเพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งน่าจะไม่เพียงพอ

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับปากว่าจะช่วยเหลือ พร้อมกับ กล่าวว่า รู้สึกพอใจในผลงานแต่อยากให้ทางจังหวัดทำภาพรวมเสนอขึ้นมาที่ส่วนกลาง โดยตนจะเชื่อมโยงการแก้ปัญหาในแต่ละจังหวัดแบบบูรณาการ ซึ่งหากโมเดลนี้ได้ผลดี ก็ให้ขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ที่เกิดปัญหาอีก 30 จังหวัดต่อไป ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว ในอนาคตอาจจะประยุกต์ใช้สำหรับแก้ปัญหาน้ำแล้งได้ด้วย

ส่วนการให้ความช่วยเหลือพื้นทีการเกษตรนั้น ตนอยากให้แยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกพื้นที่ที่เห็นอยู่แล้วว่าเกิดความเสียหาย 100 % ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้น้ำลดถึงค่อยประเมินความเสียหาย เพราะต้องเสียเวลา 3-4 เดือน อยากให้หารูปแบบของคณะกรรมการเข้าไปดู เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งอาจจะใช้ภาพถ่ายผ่านดาวเทียมสำรวจก็ได้ หากได้ข้อสรุปแล้วก็ให้ช่วยเหลือทันที 2.พื้นที่ที่ยังไม่แน่ใจความเสียหาย ก็ให้รอน้ำลดแล้วค่อยประเมิน

ผู้สื่อข่าวถามว่าการสร้าง “เขื่อนแก่งเสือเต้น” ถือว่าอยู่ในบางระกำโมเดลหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า การสร้างเขื่อนถือเป็นงานในภาพรวม ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าคำตอบของการแก้ไขปัญหาจะเป็นเรื่องเขื่อนหรือไม่ แต่การแก้ไขปัญหาที่ จ.พิษณุโลก ทั้งแม่น้ำยม แม่น้ำน่าน จะต้องดูว่าการไหลของน้ำมีปัญหาตรงจุดไหน และจะทำที่กักเก็บหรือแก้มลิงอย่างไร ตรงนี้กรมชลประทานจะไปดูภาพรวมและดำเนินการในอนาคต ส่วนที่มีการเสนอให้ขุดแม่น้ำเทียมและคลอง 20 สายนั้น ตนก็เห็นว่าต้องดูภาพรวมเช่นกัน เพราะถ้าเราแก้ไขปัญหาที่ จ.พิษณุโลกจากการขุดคลอง แต่ไปกระทบจังหวัดอื่น ๆ ก็แก้ปัญหาไม่ได้ จุดมุ่งหมายคือเราต้องการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ

ต่อมาเวลา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ เดินทางไปกราบนมัสการพระครูสุนทรธรรมประภาส หรือหลวงพ่อแขก ที่วัดสุนทรประดิษฐ์ อ.บางระกำ ซึ่ง หลวงพ่อแขกได้แนะนำว่าหากจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมใน จ.พิษณุโลกให้ได้แบบถาวร ควรต้องขุดลอกคลองเดิมที่มีอยู่กว่า 20 สายให้ลึก 6 เมตร ก็จะแก้ปัญหาได้ โดยไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อน ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่าพร้อมรับข้อแนะนำไปพิจารณา แต่ทั้งหมดต้องดูในภาพรวม เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวด้วย จากนั้นได้ส่งพวงมาลาปลุกเสก และนกยูงทอง ซึ่งเป็นเครื่องรางของขลัง ให้นายกหญิง พร้อมกันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนประชาชน และมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยที่ อบต.บางระกำ อบต.ท่านางงาม อ.บางระกำ อีกด้วย



source : http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=8&contentID=160032

คนเล็กๆ จะกู้วิกฤติของโลกได้อย่างไร

คำว่า "คนเล็กๆ" มักใช้หมายถึง ประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่ชนชั้นผู้ปกครอง หรือชนชั้นนำที่มีอำนาจมีอิทธิพลต่อสังคมสูง

แต่การใช้คำนี้โดยคนแต่ละคนก็ขึ้นอยู่กับการตีความเชิงอัตวิสัยของคนแต่ละคนอยู่มาก คนที่มองแบบยอมจำนนหรือเย้ยหยัน ผู้มองว่า "เราเป็นแค่คนเล็กๆ ที่คงทำอะไรไม่ได้มาก" มักจะทำได้น้อยกว่าที่เขาควรทำได้ แต่คนที่มองโลกในทางบวกอย่างสร้างสรรค์ ผู้มองว่า "ถึงเราจะเป็นคนธรรมดาสามัญที่ไม่มีอำนาจในสังคม แต่เราก็ควรจะพยายามทำอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้" มักจะทำอะไรได้มากกว่าคนแบบแรก

ถ้าประชาชนไทยสามารถคิดและทำแบบคนประเภทหลังได้มากขึ้น คนเล็กๆ ของเราน่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยที่ขณะนี้เป็นปัญหาวิกฤติหลายด้านให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ได้มากกว่าอีกมาก

ความหลงผิดซึ่งนำมาสู่ความล้าหลังและปัญหาวิกฤติทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และระบบนิเวศ (สิ่งแวดล้อม) ของประเทศไทย คือ ค่านิยมแบบอยากเป็นใหญ่ อยากมีอำนาจอยากร่ำรวยเหนือคนอื่น ด้วยความเชื่อว่านี่คือ เรื่องสำคัญที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จ มีความสุข ความภาคภูมิใจ แต่ความจริงแล้วเรื่องที่จะทำให้คนมีความสุขนอกจากการมีปัจจัยพื้นฐานให้ยังชีพพอเพียงแล้ว คือ การมีครอบครัว เพื่อน การทำงานและชีวิตทางสังคมที่อบอุ่นสร้างสรรค์ มากกว่าเรื่องการมีอำนาจและความร่ำรวย

มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิต (สัตว์, พืช, จุลชีพ) ราว 3 พันล้านชนิด (Species) ในโลกที่เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ ในจักรวาลที่มีดาวหลายล้านล้านดวงและกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าที่เราจะวัดได้ มนุษย์แต่ละคนมีชีวิตอยู่ โดยเฉลี่ยก็สัก 70-80 ปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับโลกซึ่งอยู่มาแล้วราว 4,500 ล้านปี มนุษย์เป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ในจักรวาลและกาลเวลาที่ยิ่งใหญ่

ถึงแม้มนุษย์จะเป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการได้ฉลาดที่สุดเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และเป็นผู้ครองโลกในปัจจุบัน แต่มนุษย์ก็ไม่ได้ "ใหญ่" ได้ตามลำพัง มนุษย์ยังต้องพึ่งพาสิ่งมีชีวิตอื่น พึ่งพาทุนธรรมชาติและพึ่งพาเพื่อนมนุษย์คนอื่นอย่างมาก สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งเล็กและใหญ่ต่างสำคัญด้วยกันทั้งนั้น

แม้แต่มนุษย์ที่ขึ้นมาเป็นผู้ปกครองหรือผู้นำ ก็ไม่ได้มีใคร "ใหญ่" อย่างแท้จริง ทั้งกษัตริย์ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ประธานบริษัทระดับโลก ฯลฯ ไม่มีใคร "ใหญ่" เหนือธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นกฎธรรมชาติ ระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม (การผลิตโดยนายทุนเพื่อขายในตลาด) ที่มนุษย์สมัยใหม่สร้างขึ้นเมื่อราว 250 ปี นำความเจริญความมั่งคั่ง ความสะดวกสบายให้กับมนุษย์ยุคใหม่ (โดยเฉพาะคนรวยและคนชั้นกลาง) มากกว่าบรรพบุรุษของเราในยุคก่อนหน้านั้นมากก็จริง แต่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีการถลุงทรัพยากรธรรมชาติในรอบ 250 ปีมากกว่าในรอบ 1.5 ล้านปีนับแต่ที่มนุษย์เกิดขึ้นมานั้น ได้ทำลายล้างเอาเปรียบทั้งธรรมชาติและแรงงาน สร้าง วิกฤติความขัดแย้งการเมือง (สงคราม การก่อการร้าย) วิกฤติทางเศรษฐกิจและทางสังคม และ วิกฤติสิ่งแวดล้อม ที่กำลังทำให้มนุษยชาติก้าวไปสู่ความหายนะภายใน 50-100 ปีข้างหน้านี้ได้ ถ้ามนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่ตื่นตัวลุกขึ้นมาหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง

เฉพาะปัญหามลภาวะโลกร้อน (อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยสูงขึ้น) จะทำให้น้ำทะเลท่วมเมืองชายฝั่งที่มีประชากรโลกราว 1 ใน 3 มนุษย์จะขาดแคลนที่อยู่อาศัย อาหาร น้ำ พลังงานอย่างกว้างขวางรุนแรงขึ้น และภัยพิบัติธรรมชาติจะเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น จนมนุษยชาติไม่ได้ "ใหญ่" อีกต่อไป

สิ่งที่คนเล็กๆ อย่างพวกเราจะคิดและทำได้ คือ มองตนเองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติหรือระบบนิเวศ และ พยายามเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติแทน ที่จะคิดเอาชนะหรือทำลายธรรมชาติซึ่งกำลังย้อนกลับมาทำร้ายมนุษย์ ธรรมชาติมีความเรียบง่ายแต่ทุกสิ่งเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันอย่างซับซ้อน ระบบธรรมชาติที่มีความหลากหลายทางชีวภาพทำงาน แบบควบคุมตนเอง พึ่งพาตนเองและสร้างตนเองได้ใหม่ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีการแทรกแซงรบกวนจากภัยที่เกิดเองตามธรรมชาติในบางครั้ง แต่ระบบนิเวศก็สามารถ ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมที่สมดุลได้ ถ้าไม่ถูกแทรกแซง/รบกวนจากมนุษย์มากเกินไป

ในระบบธรรมชาตินั้น สิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ จุลชีพดำรงอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาอาศัยกัน ใช้ทรัพยากรพลังงานที่จำเป็น เบียดเบียนธรรมชาติและผู้อื่นแต่น้อย แข่งขันกันบ้าง แต่ก็เอื้อเฟื้อช่วยเหลือร่วมมือกันเป็นด้านหลัก ของเสียจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งกลายเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอื่น ไม่มีขยะของเหลือใช้ที่เปล่าประโยชน์หรือมีก็น้อยมาก และธรรมชาติสามารถดูดซับฟื้นฟูให้กลับอยู่ในสภาพดีหรือเป็นประโยชน์ได้

นี่คือ ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่มนุษย์เราควรจะเรียนรู้และใช้ชีวิตเลียนแบบธรรมชาติ แทนที่มนุษย์จะมุ่งแข่งขันทำงานการผลิตเพื่อหาเงินมาบริโภคแบบเกินพอเพียง มนุษย์ควรสร้างสรรค์โลกใบนี้ที่เราแต่คนเป็นผู้มาอาศัยอยู่แค่ช่วงสั้นๆ ให้เป็นโลกที่เติบโตทางวัตถุช้าลง ผลิตและบริโภคสินค้าเฉพาะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แบ่งปันผลผลิตและบริการที่จำเป็นเหล่านี้อย่างเป็นธรรม ลดการทำลายมลภาวะและทำให้โลกสวยงามขึ้น เพื่อที่ลูกหลานของเรา (รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆ) จะสามารถดำรงชีพอยู่ในโลกใบนี้ได้ยาวนานขึ้น

อุดมการณ์ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้ คือ อุดมการณ์สังคมนิยมประชาธิปไตยแนวระบบนิเวศ (Ecological Socialism) เนื่องจากระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบทุนนิยมผูกขาด คือ ตัวการที่ล้างผลาญและเอาเปรียบทั้งธรรมชาติและมนุษย์ ระบบทุนนิยมหรือตลาดเสรีไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤติที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ได้ ขณะที่ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมประชาธิปไตยแนวระบบนิเวศสอดคล้องกับกฎธรรมชาติมากกว่า เนื่องจากระบบนี้ มุ่งจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อส่วนรวม กระจายผลผลิตและบริการอย่างเป็นธรรม และเน้นการพัฒนาทางเลือกเพื่อจำกัดขนาดการเติบโตทางเศรษฐกิจ (แต่ยังพัฒนาเชิงคุณภาพได้) เพื่อให้สังคมมนุษย์อยู่ได้อย่างยั่งยืนถึงรุ่นลูกหลาน

หากเราปล่อยให้ชนชั้นนายทุน และผู้มีอำนาจทั้งหลาย "คิดเล็กๆ คิดระยะสั้นๆ แบบเห็นแก่ตัว" ขยายการลงทุน ทำลายทรัพยากรและพลังงาน สร้างมลภาวะ เพียงเพื่อกำไรส่วนบุคคลต่อไปอย่างไม่มีขีดจำกัด จะทำให้ระบบนิเวศทั้งในไทยและทั่วโลกเสื่อมโทรม เกิดภาวะโลกร้อน ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงไปอย่างถึงขีดอันตราย จะเกิดวิกฤติทั้งสิ่งแวดล้อม วิกฤติทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมที่รุนแรงเพิ่มขึ้นจนนำไปสู่สงครามแย่งชิงที่ดิน ทรัพยากร และพลังงานที่เหลืออยู่น้อย จนนำไปสู่ความป่าเถื่อน (Barbarism) ความหายนะ และการสูญเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ได้

มาร์กาเร็ต มีค (ค.ศ. 1901-1978) นักมานุษยวิทยาสตรีชาวอเมริกันผู้เคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ เคยกล่าวถึงบทบาทกลุ่มคนเล็กๆ ไว้อย่างน่าสนใจว่า

"อย่าสงสัยเลยว่า พลเมืองที่ช่างคิดและมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่ง จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้หรือไม่ เพราะความจริงก็คือ มันเป็นวิธีทางเดียวที่โลกเคยเปลี่ยนแปลงมา"
รศ.วิทยากร เชียงกูล
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/wittayakorn_c/20110829/406706/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%86-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3.html

เจ๋ง! บริษัทญี่ปุ่นสั่งพนักงานตัดผมสั้น ช่วยชาติลดพลังงาน

ตัดผมสั้น
พนักงานชาย – หญิงตัดผมสั้น

Mthai News : สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัทมาเอดะ คอร์ปอเรชั่นที่ญี่ปุ่น ได้ออกมาตรการให้พนักงานกว่า 2,700 คน ตัดผมสั้น เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการประหยัดพลังงานของทางรัฐบาล ที่มีออกมาหลังเกิดโรงงานนิวเคลียร์ระเบิดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดยพนักงานผู้ชายนั้น ผมด้านหลังและข้างต้องสั้น ด้านบนยาวได้เล็กน้อย ส่วนผู้หญิงให้ตัดผมบ็อบสั้น ปัดหน้าม้าไปด้านข้าง
ทั้งนี้ นางสาวชิซุระ อิโนอุเอะ โฆษกของทางบริษัทกล่าว่า ทางบริษัทมีความกระตือรือร้นอย่างมากที่จะช่วยประหยัดพลังงาน ทางเราคิดว่า การตัดผมสั้นนั้นน่าจะช่วยให้ใช้น้ำในการสระผมน้อยลง และไม่ต้องใช้ไดร์เพื่อเป่าผมให้แห้งอีกด้วย

source:http://news.mthai.com/world-news/128697.html

สรรพสามิตจ่อหารือภาษีน้ำมันกับ2กระทรวง

กรมสรรพสามิต เตรียมหารือ .พลังงาน ,.คลัง ลดภาษีน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพิ่มภาษีเบนซิน และแก้ไขระเบียบส่งออกเอทานอล ขอขยายเวลาลดภาษีน้ำมันดีเซล ออกไปอีก1เดือน ในวันที่ 29 สิงหาคม นี้

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ทางกรมเตรียมหารือกับ กระทรวงพลังงาน เพื่อลดภาษี น้ำมันแก๊ซโซฮอล์ ที่จัดเก็บ อยู่ที่ 6.30 บาทต่อลิตร ให้ลดลง 1.65 บาทต่อลิตร ขณะเดียวกัน เสนอให้มีการปรับเพิ่ม
ภาษีเบนซิน เป็น 10 บาทต่อลิตร เพื่อให้มีส่วนต่างราคาอยู่ที่ ร้อยละ 20 ถึง ร้อยละ 30 รวมไปถึงจะทำให้เกิดแรงจูงใจ ในการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ทางกรมไม่สามารถปรับลดภาษีแก๊สโซฮอล์ได้เพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้กระทบกับการจัดเก็บรายได้ของกรมเพิ่มขึ้น หากยกเลิกจัดเก็บเงินเข้ากองทุน จะทำให้คนหันไปใช้น้ำมันเบนซิน 91 และ 95 เพิ่มขึ้น ซึ่ง
ทางกรม จะเข้าไปดูแลผู้ผลิตเอทานอลที่มีส่วนเกิน โดยในวันที่ 29 สิงหาคม นี้ จะมีการหารือกับผู้บริหารกระทรวงการคลัง เพื่อแก้ไขระเบียบกระทรวง ให้ผู้ส่งออกเก็บเอทานอลได้มากขึ้น


นายพงษ์ภาณุ ยังเปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้า ทางกรมสรรพสามิตจะหารือกับกระทรวงพลังงาน เพื่อขอขยายเลาการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ที่ลดอัตราการจัดเก็บอยู่ที่ 0.005 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนกันยายน นี้ โดยจะดูสถานการณ์เดือนต่อเดือน หากยังไม่เหมาะ ก็จะมีการยื่นต่อไปทุกเดือน จนกว่าราคาน้ำมันจะไม่เป็นภาระกับประชาชน

ทั้งนี้ การลดภาษีน้ำมันดีเซล จะทำให้รายได้ของรัฐบาล หายไปเดือนละ 9,000 ล้านบาท ซึ่งการลดภาษี โดยที่ไม่มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนนั้น อาจกระทบต่อการประเมินรายได้ ปี 2555 ซึ่งหากต้องลดภาษีทั้งปี ก็จะทำให้รายได้ของรัฐหายไปกว่า 1 แสนล้านบาท


Link : http://www.innnews.co.th/สรรพสามิตจ่อหารือภาษีน้ำมันกับ2กระทรวง--304880_02.html

คลังโอดนโยบายน้ำมันปู เจ๊ง3แสนล. กระทบงบประมาณปี'55

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เมื่อ วันที่ 28 สิงหาคม ถึงผลกระทบจากการชะลอการเก็บเงินเข้า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 และน้ำมันดีเซลชั่วคราว ที่มีต่อกลุ่มผู้ปลูกพืชพลังงาน ทางเลือกว่า ยังคงนโยบายหลักในการส่งเสริมเรื่องพลังงานทดแทนอยู่ แต่การชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เป็นการลดภาระค่าครองชีพในเบื้องต้น แต่ในระยะยาว คงต้องดูในเรื่องการส่งเสริมพลังงานทดแทนผลักดันให้เป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม ในเรื่องผลกระทบที่เกิดขึ้น มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูแลรับผิดชอบ ในการออกมาตรการช่วยเหลือด้วย

คลังประเมินเจ๊ง 3 แสนล้านบ.

มีรายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่า จากการประเมินผลกระทบจากนโยบายรัฐบาล ในการยกเลิกจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะกระทบฐานะการคลังในปีงบประมาณ 2555 ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท โดยมาจากสมมุติฐานที่ว่า ถ้าไม่สามารถปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลกลับไปที่ระดับ 5.80 บาทต่อลิตร จะทำให้รายได้หายไป 1.5 แสนล้านบาท ส่วนอีก 1.5 แสนล้านบาท ที่หายไปคาดว่า จะเป็นผลมาจาก การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ขณะเดียวกัน เมื่อลดการนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้ต้อง กู้เงินมาชดเชยเงินกองทุนน้ำมันเดือนละ 6-7 พันล้านบาท หรือประมาณปีละ 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ภาคการคลังมีปัญหามากขึ้น มีการทำงบประมาณขาดดุลมากขึ้นกว่าเดิม

ยืดลดภาษีดีเซลอีก1เดือน

ด้านนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้ากรมสรรพสามิตจะหารือกับกระทรวงพลังงาน ขอขยายเวลาการลดภาษีสรรพสามิตดีเซลน้ำมันที่ลดเหลืออัตราการจัดเก็บอยู่ที่ 0.005 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนกันยายนนี้ โดยจะดูสถานการณ์เดือนต่อเดือน หากยังไม่เหมาะสม ก็จะยืดต่อไป จนกว่าราคาน้ำมันจะไม่เป็นภาระกับประชาชน

ชี้ถ้าลดทั้งปีรายได้หายแสนล้าน

"ทั้งนี้ การลดภาษีน้ำมันดีเซลทำให้รายได้หายไปเดือนละ 9,000 ล้านบาท ซึ่งการลดภาษีโดยที่ไม่มีกำหนดเวลาชัดเจน จะกระทบกับการประเมินรายได้ในปี 2555 หากต้องลดภาษีทั้งปีก็จะทำให้รายได้หายไป 1 แสนล้านบาทŽ อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าว และว่า นอกจากนี้ จะหารือเพื่อลดภาษีน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ที่เก็บอยู่ที่ 6.30 บาทยต่อลิตร ให้ลดลงประมาณ 1.50 บาทต่อ ลิตร ขณะเดียวกันจะเสนอให้ปรับเพิ่มภาษีเบนซินเป็น 10 บาทต่อลิตร จากที่เก็บอยู่ที่ 7 บาท เพื่อให้มีส่วนต่างราคา 20-30% ทำให้เกิดแรงจูงใจ ในการใช้พลังงานทางเลือก ทั้งนี้ ยอมรับว่า ไม่สามารถปรับลดภาษีแก๊สโซฮอล์เพียงอย่างเดียวได้ เพราะจะกระทบการจัดเก็บรายได้ของกรมเพิ่มขึ้น ซึ่งในภาพรวมการจัดเก็บรายได้น้ำมันควรจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 7-10% ของรายได้รัฐบาลโดยรวม

ห่วงใช้ลดภาษีนานกระทบ4ด้าน

อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวด้วยว่า จะ ต้องชี้แจงให้กระทรวงพลังงานเข้าใจว่าการลดภาษีระยะยาวมากเกินไปจะมีผลกระทบอย่างน้อย 4 ด้าน คือ 1.กระทบต่อรายได้รัฐ 2.ทำให้มี การใช้น้ำมันมาก สั่งนำเข้าเพิ่ม มีผลต่อดุลการค้า และดุลชำระเงินของประเทศ 3.มีปัญหาต่อ งบประมาณซ่อมแซมถนน และ 4.ผลต่อ สิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม รู้สึกกังวลการบิดเบือนการใช้น้ำมันและพฤติกรรมการใช้น้ำมัน การลดภาษีดีเซลช่วงที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณ การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 3-4% ขณะที่การยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุน ทำให้มีคนไปใช้น้ำมันเบนซิน 91 และ 95 จนหมดสถานี ซึ่งกรมสรรพสามิตต้องเข้าไปดูแลผู้ผลิตเอทานอลที่มีส่วนเกิน โดยวันที่ 29 สิงหาคมนี้ จะประชุมผู้บริหาร เพื่อออกระเบียบกระทรวงให้ผู้ส่งออกเอทานอลได้มากขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญแนะลดภาษีโซฮอล์

มีความเห็นจาก นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า หลังรัฐบาลชะลอส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนเบนซิน และดีเซลแล้ว ต่อไปต้องใช้กลไกภาษีสรรพสามิตปรับลดภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ที่ปัจจุบันเก็บอยู่ในอัตรา 6.30 บาทต่อลิตร แล้วปรับขึ้นภาษีน้ำมันเบนซินที่ปัจจุบันเก็บอยู่ 7 บาทต่อลิตร เพื่อให้ส่วนต่างของแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าเบนซินอย่างน้อย 5-6 บาทต่อลิตร จูงใจให้คนหันมาใช้พลังงานทดแทน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครเติมแก๊สโซฮอล์ อีกทั้งรัฐบาลไม่ควรปล่อยให้ราคาเบนซินกับโซฮอล์ใกล้เคียงกัน เพราะจะกระทบนโยบายพลังงานทดแทนที่หลายรัฐบาลได้ศึกษาไว้และไม่ควรใช้มาตรการลดส่งเงินเข้ากองทุนเกิน 6 เดือน

รายงานข่าวระบุว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) สัปดาห์ที่ผ่านมา ข้าราชการคลังได้เสนอให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น ให้ระดับราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกไปอยู่ที่ระดับ 30 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้กระทบกับการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล แต่ในที่ประชุม โดยนายกรัฐมนตรี รมว.พลังงาน และ.รมว.คลัง ไม่เห็นชอบแนวทางดังกล่าว โดยให้ข้อเสนอว่าจะนำเรื่องนี้มาพิจารณาภายใน 1-2 สัปดาห์

ปตท.ยันสำรอง91พอจ่ายทั่วปท.

นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสถานการณ์การจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ว่า สถานีบริการน้ำมัน ปตท.ที่จำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 จำนวน 1,097 แห่ง จากสถานีบริการน้ำมันทั้งหมด 1,309 แห่ง ทั่วประเทศ มียอดจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 เพิ่มสูงขึ้นมาก จากยอดการจำหน่ายปกติ ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 2.2 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งนี้ ปตท. มีปริมาณสำรองน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ประมาณ 45 ล้านลิตร เพียงพอกับปริมาณความต้องการ และยังเตรียมดำเนินการเพิ่มหัวจ่ายน้ำมันและจำนวนสถานีบริการน้ำมันเบนซิน 91 ให้มากขึ้น เพื่อให้เพียงพอ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน

บขส.-รถร่วม5รายนำร่องลดค่าโดยสาร

ส่วนนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กล่าวว่า วันที่ 29 สิงหาคม บขส.จะทำหนังสือไปยัง กรมการขนส่งทางบก เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง อนุมัติใช้อัตราค่าโดยสารใหม่ ลดอัตราค่าโดยสาร 2 สตางค์ต่อกิโลเมตร หลังราคาน้ำมันดีเซลลดลง 3 บาทต่อลิตร เบื้องต้นมีผู้ประกอบการรถร่วมบริการ บขส.ประมาณ 5-6 ราย ยินดีปรับลดอัตรา ค่าโดยสาร ก่อนที่คณะกรรมการควบคุมขนส่ง ทางบกกลางจะมีมติอนุมัติ ส่วนผู้ประกอบการรายอื่นขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ทั้งนี้ หากได้รับการอนุมัติ จะดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม หรืออย่างช้าภายในสัปดาห์นี้

ขนส่งอีสานลดค่าบริการ8-10%

เช่นเดียวกับ นายขวัญชัย ติยะวานิช นายกสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าภาคอีสาน เปิดเผยว่า หลังรัฐบาลลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยในส่วนน้ำมันดีเซลลง 3 บาท ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลที่จ.นครราชสีมา จำหน่ายอยู่ที่ราคาลิตรละ 27.26 บาท ถือเป็นการส่งผลดีต่อภาคการขนส่ง โดยสมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าภาคอีสานได้ปรับลดอัตราค่าขนส่งลง 8-10% เพื่อให้เป็นไปตามกลไกของตลาด ถือเป็นการปรับลดราคาลงตามข้อตกลงร่วมกันระหว่างทางผู้ว่าจ้าง กับ ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า ที่ทำสัญญาค่าว่าจ้าง ด้วยการกำหนดเพดานค่าขนส่งแบบขั้นบันได เพื่อให้มีการแปรผันค่าว่าจ้าง ตามราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวลดลงหรือสูงขึ้น อีกทั้ง ช่วงนี้เป็นช่วง ฤดูฝนมีลูกค้าใช้บริการขนส่งสินค้าไม่มากนัก ทำให้ผู้ประกอบการต้องคิดราคาค่าขนส่งต่ำกว่ารายอื่น ดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้บริการ

กรมขนส่งฯถกลดค่าโดยสาร

ขณะที่นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เผยว่า จะประชุม คณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลางภายในสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาปรับค่าโดยสารในส่วน รถโดยสารสาธารณะทุกประเภท เบื้องต้นจะพิจารณา ปรับลดค่าโดยสารที่เหมาะสม ผู้ประกอบการยอมรับได้ เนื่องจากอัตราค่าโดยสารปัจจุบันคำนวณจากราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 24.71 บาท ต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลปัจจุบันอยู่ที่ 26.99 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ในส่วนสมาคม ผู้ประกอบการรถโดยสารแห่งประเทศไทย จะประชุมกำหนดแนวทางดำเนินกิจการ วันที่ 2 กันยายน

source:http://www.naewna.com/news.asp?ID=277535

เปรูอึ้ง! “อุกกาบาตไฟ” พุ่งเป็นทางเหนือเวหาเมืองอินคาโบราณ


ภาพจากคลิปวิดีโอที่มีผู้บันทึกปรากฏการณ์อุกกาบาตตกเหนือน่านฟ้าเมืองกุสโก ทางตอนใต้ของเปรู เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) วันพฤหัสบดี (25) ที่ผ่านมา ทั้งนี้ มีรายงานว่าเกิดไฟป่าขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถยืนยันความเกี่ยวข้องของทั้งสองเหตุการณ์ได้

เดลิเมล์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ชาวเปรูในเมืองกุสโก (Cusco) ต่างตกอยู่ในภวังค์ และจ้องมองผืนฟ้าเป็นตาเดียวกันเมื่อวันพฤหัสบดี (25) ที่ผ่านมา ขณะอุกกาบาตที่กำลังลุกไหม้ลูกหนึ่งพุ่งเป็นทางลงมาสู่พื้นโลก โดยมีผู้สามารถบันทึกภาพปรากฏการณ์ทางธรรมชาติครั้งนี้ไว้ได้ ก่อนที่มันจะเลือนหายไปจากขอบฟ้า

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า อุกกาบาตลูกนี้ อาจเป็นสาเหตุของไฟป่าในเมืองกุสโก ทางตอนใต้ของเปรู ซึ่งปะทุขึ้นหลังมีรายงานการเห็นอุกกาบาตลูกนี้ เจ้าพนักงานท้องที่และตำรวจเปรูกำลังพยายามตรวจสอบจุดที่อุกกาบาตตกสู่พื้นโลก ระหว่างเขตซาน เซบาสเตียน กับเขตซาน เกโรนีโม ในเมืองกุสโซ

เมืองกุสโกเป็นเสมือนประตูสู่ “มาชูปิกชู” ป้อมปราการแห่งอินคา โดยร่องรอยวัฒนธรรมแห่งจักรวรรดิอินคาสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังเมืองกุสโกจำนวนมาก ทว่า ทางการมีระเบียบบังคับที่เข้มงวด ซึ่งจะเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมวันละ 200 คนเท่านั้น

ทั้งนี้ ปรากฏการณ์อุกกาบาตตกเกิดขึ้นในเปรูครั้งล่าสุดเมื่อปี 2007 แถบพื้นที่ชายแดนติดกับโบลิเวีย

อุกกาบาต คือ เศษเสี้ยวของหิน หรือบางครั้งอาจเป็นโลหะที่สามารถผ่านชั้นบรรยากาศลงมาถึงพื้นโลก อุกกาบาตเหล่านี้ส่วนใหญ่มักเกิดจากการชนกันระหว่างดาวเคราะห์ในอวกาศ

ด้วยแรงดึงดูดของโลก อุกกาบาตจะพุ่งลงสู่พื้นโลกด้วยความเร็วเกินกว่า 11.2 กิโลเมตร/วินาที อุกกาบาตอาจมีขนาดแตกต่างกันไปตั้งแต่ขนาดเล็กไม่กี่มิลลิเมตรไปจนถึงขนาดใหญ่เท่าสนามฟุตบอล ตามทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ เชื่อกันว่า เมื่อ 65 ล้านปีที่ผ่านมา อุกกาบาตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 กิโลเมตร เคยพุ่งชนโลกและทำลายล้างชีวิตไดโนเสาร์มาแล้ว

อนึ่ง ในแต่ละปีมีอุกกาบาตตกลงสู่พื้นโลกจำนวนหลายร้อยลูก ทว่ามีเพียงจำนวนน้อยที่มนุษย์สามารถตามสำรวจพบ




source:http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000108529

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Unseen พระเณรทำนา

เรื่องราวพระเณรทำนาของ“วัดเชิงผา” อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงพระ เณรและผู้ปฏิบัติธรรม

พระ-เณร “ทำนา” เป็นเรื่องราวอีกมุมของวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัย ท่ามกลางความเปราะบางของพุทธศาสนาในสังคมปัจจุบัน จึงถูกตั้งคำถามว่า สำหรับเพศบรรพชิตแล้วเหมาะสมหรือไม่

คณะของเราจึงต้องไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา โดยเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่ “วัดเชิงผา” อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย วัดแห่งนี้ห่างจากตัวเมืองสุโขทัยประมาณ 60 กิโลเมตร

เมื่อถึงหน้าวัดเชิงผา ก็ต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่ราบเชิงเขา ท่ามกลางหมอกจางๆ เสียงน้ำไหลรินกลางลำธาร และเสียงนกร้อง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “ศูนย์เรียนรู้คุณธรรมนำชีวิต” พื้นที่ซึ่งวัดแบ่งไว้เพื่อใช้ทำประโยชน์

หลังเสร็จจากวัตรปฏิบัติประจำวัน พระปลัดปราโมช อธิปญฺโญ หรือพระอาจารย์ปราโมทย์ วัดเชิงผา เล่าถึงที่มาที่ไปในการให้พระและเณรทำนา พร้อมพาพวกเราเยี่ยมชมรอบๆ ศูนย์ปฏิบัติธรรมที่ก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 โดยมีพื้นที่ปลูกข้าว 8 ไร่

“แรกๆ ก็กลัวว่า ชาวบ้านจะไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่วิถีของพระสงฆ์และสามเณร แต่เมื่ออธิบายเหตุผลให้ทุกคนเข้าใจ ก็มีชาวบ้านเข้ามาช่วยพระเณรทำนาปลูกข้าวมากขึ้นทุกปี ซึ่งนอกจากผลผลิตจะสามารถเลี้ยงพระ เณร และผู้ปฏิบัติธรรมได้ตลอดทั้งปีแล้ว บางปียังเหลือให้ญาติโยมนำไปขยายพันธุ์ โดยไม่คิดค่าดอกผลด้วย” พระอาจารย์ปราโมทย์ เล่าถึงการทำนา

กิจวัตรตลอดทั้งวันของพระเณรกว่า 30 รูปที่นี่อาจต่างจากวัดอื่นๆ สามเณรนอกจากเรียนหนังสือ ศึกษาธรรม และรับการอบรมต่างๆ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ยังต้องช่วยกันทำนา ส่วนภิกษุสงฆ์ก็ต้องช่วยกันอบรมสามเณร และผู้มาปฏิบัติธรรม รวมทั้งคอยดูแลแปลงพืชผักสวนครัวและผืนนาด้วย และพระเณรต้องช่วยกันทำงานเพื่อให้ได้ข้าวมาเลี้ยงทุกคนในวัด

ภิกษุสงฆ์ผิวกร้านดำ รูปร่างสูงใหญ่ แต่มีรอยยิ้มแห่งความเมตตา เล่าว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนี้มีชาวบ้าน และผู้ที่สนใจแวะเวียนเข้ามารับการฝึกอบรมทั้งในเรื่องธรรมะและการใช้ชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตลอดทั้งปี แต่ในเรื่องการทำนานั้นจะทำแค่ปีละครั้ง

“พูดง่ายๆ ว่า เราปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก” พระอาจารย์ปราโมทย์ เล่าให้ฟัง ก่อนจะพูดต่อว่า “ส่วนการทำนานั้นจะเริ่มปลูกช่วงวันแม่ แล้วเก็บเกี่ยวตอนวันพ่อ"

หลังจากได้พูดคุยกับพระอาจารย์ พวกเราก็มีโอกาสเดินเยี่ยมชมส่วนต่างๆ ซึ่งปลูกสร้างอย่างเป็นระเบียบแบ่งเป็นสัดส่วน กลมกลืนกับธรรมชาติ สถานที่ปฏิบัติแห่งนี้ พระ เณร และชาวบ้านมาเรียนรู้ทั้งธรรมะและวิถีชีวิตไทยแบบดั้งเดิมไปพร้อมๆ กันบนผืนดินที่สงบร่มเย็น

พระ-เณร ช่วยกันตระเตรียมทุกขั้นตอนของการทำนา ตั้งแต่การไถ่ หว่าน ดำ และเกี่ยว โดยมีชาวบ้านในชุมชนมาร่วมแรงร่วมใจดำกล้าลงในท้องนา เพื่อทำให้พื้นดินอันว่างเปล่า กลายเป็นพื้นดินเขียวขจี

เณรน้อยลูกข้าวเหนียววัย 13 ปีคนหนึ่ง เล่าถึงตอนอยู่บ้านที่ขอนแก่นว่า พ่อแม่ก็ทำนา แต่ตัวเองไม่เคยทำ นี่เป็นครั้งแรก รู้สึกสนุก ไม่เหนื่อยเลย เพราะมีเพื่อนๆ ได้ทั้งความรู้ และได้ “ทำนา”

ส่วนพระอาจารย์ปราโมทย์ เล่าต่อว่า เมื่อพระเณรได้เห็นความยากลำบากในการทำนา กว่าจะได้ข้าวมาแต่ละเม็ด ก็จะมีสำนึกในการใช้ของอย่างมีคุณค่า เห็นประโยชน์ที่แท้จริง เข้าใจความทุกข์ของคนอื่นมากขึ้น

"ส่วนจะเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ ต้องใช้พระธรรมวินัย ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิดของผู้หนึ่งผู้ใด"

ในพระธรรมวินัยระบุว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงส่งพระอรหันต์ 60 รูปแรกไปประกาศพุทธศาสนานั้นมีความตอนหนึ่งว่า “จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชน สุขาย โลกานุกมฺปาย” -ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่มวลมนุษย์

จากที่ได้สัมผัสวิถีของพระเณรทำนาในสองวันหนึ่งคืน นอกจากจะทำให้เข้าใจเจตนารมณ์ของศูนย์เรียนรู้คุณธรรมนำชีวิตที่มีต่อชาวบ้าน เด็กและเยาวชน และผู้มาปฏิบัติธรรมแล้ว ยังช่วยขัดเกลาสำนึกของเราด้วย

จะเรียกว่าเป็น Unseen Thailand ก็คงไม่เกินเลยไป เพราะภาพเหล่านี้คงไม่มีโอกาสพบเห็นในสังคมทั่วไป...สามเณรหลายสิบรูป สวมสังฆาฏิ ถกสบง กำต้นกล้า ช่วยกันปักต้นข้าวในนาที่มีน้ำเจิ่งนอง ส่วนพระสงฆ์และชาวบ้าน ก็มาร่วมทำนาด้วย โดยปีหนึ่งวัดแห่งนี้ทำนาแค่ครั้งเดียว และเป็นกิจกรรมที่ทำอย่างต่อเนื่องผ่านมาหลายปี

source:http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/hi-life/20110825/406548/Unseen-พระเณรทำนา.html

บอกลายานอนหลับด้วยนมวัวสักแก้ว

ยานอนหลับยิ่งกินยิ่งนอนไม่หลับรู้หรือไม่ หันมาดื่มนมกันดีกว่า นอกจากแข็งแรงยังนอนหลับสบายไม่แพ้กัน

คุณเคยมีอาการนอนไม่หลับบ้างหรือไม่ หากใครไม่เคยประสบปัญหาการนอนหลับยาก ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง แสดงว่าสุขภาพกาย สุขภาพใจยังแข็งแรงดีอยู่ ปราศจากความวิตกกังวล ความกดดัน หรือไม่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง บางท่านอาจทำกิจวัตรก่อนนอนเพื่อช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูหนัง สวดมนต์ ออกกำลังกาย เป็นต้น แต่หากครั้งใดที่นอนหลับได้ยากมากๆ บางท่านอาจต้องพึ่งยานอนหลับช่วย ซึ่งหากใช้ยาต่อเนื่องกันไปนานๆ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อร่างกายอย่างแน่นอน

เรามาลองหาทางเลือกใหม่ที่ง่าย ได้ประโยชน์ และไม่ต้องใช้ยาดีไหมคะ เคยได้ยินไหมว่าการดื่มนมวัวอุ่นๆสักแก้วก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายและง่ายขึ้น คงสงสัยแล้วสิว่า นมช่วยได้เพราะเหตุใด ก็เพราะในน้ำนมวัวมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งชื่อ ทริปโตเฟน ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเมลาโทนินจากต่อมใต้สมองในเวลากลางคืน ซึ่งเมลาโทนินนี่เองที่ช่วยให้นอนหลับสบาย เมื่อการหลั่งของเมลาโทนินเพิ่มขึ้น เราจะมีความรู้สึกตื่นตัวลดลง และรู้สึกผ่อนคลายเมื่ออุณหภูมิของร่างกายเริ่มลดต่ำลง ทำให้ร่างกายได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่นั่นเอง

อย่างไรก็ดี การสร้างเมลาโทนินของร่างกายจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อกันว่าสาเหตุดังกล่าวทำให้ผู้สูงอายุประสบปัญหาการนอนไม่หลับมากกว่าผู้ที่อายุยังน้อย ดังนั้นผู้สูงอายุจึงควรหันมาดื่มนมวัวก่อนนอนเพื่อทำให้สามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ และไม่เพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น การดื่มนมวัว 1 แก้วก่อนนอน ยังมีประโยชน์กับคนทุกเพศทุกวัยไม่เฉพาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น

นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าฮอร์โมนเมลาโทนินสามารถกำจัดอนุมูลอิสระ และลดการถูกทำลายของเซลล์ได้ จึงมีการนำเมลาโทนินไปพัฒนาเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ และเมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลยังพบว่า เมลาโทนินช่วยเพิ่มสเต็มเซลล์ระบบประสาทในสมอง และมีโอกาสพัฒนาต่อไปเพื่อรักษาโรคอัลไซเมอร์และระบบประสาทได้

ดังนั้นการดื่มนมวัว 1 แก้วก่อนนอนจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีในการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดจากหน้าที่การงาน และการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน และช่วยให้สามารถพักผ่อนได้เต็มที่ พร้อมรับมือกับงาน และกิจกรรมในวันรุ่งขึ้นอย่างสดชื่น การดื่มนมอย่างถูกต้องควรดื่มเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอื่นๆอย่างเพียงพอ เช่น โปรตีน แคลเซียม วิตามิน และเกลือแร่ ที่มีประโยชน์ และจำเป็นต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายด้วย ก่อนนอนคืนนี้ อย่าลืมดื่มนมวัวสักแก้วนะค่ะ


source:http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20110827/405651/บอกลายานอนหลับด้วยนมวัวสักแก้ว.html

ฝุ่นถ่านหิน สมุทรสาคร ความทุกข์ของชาวบ้าน

หลังจากกลุ่มคนร้ายอุกอาจบุกยิง "ทองนาค เสวกจินดา" แกนนำ กลุ่มต่อต้านถ่านหิน

อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพชีวิตของ จ.สมุทรสาคร ซึ่งคนร้ายรับสารภาพ ว่า ถูกจ้างวานจากกลุ่มขนส่งถ่านหินรายหนึ่ง ...การเสียชีวิตของ ทองนาค ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความหละหลวม เหลวแหลกของการจัดการอุตสาหกรรมถ่านหิน การขนส่ง แบบที่คนในสังคมไม่เคยรับรู้มาก่อน

ที่ผ่านมา ชาว อ.เมืองสมุทรสาคร เดือดร้อนจากฝุ่นผงของถ่านหิน จากการที่มีท่าเทียบเรือทั้งหมด 70 ท่า และมี 5 ท่าเรือที่ขนส่งถ่านหิน ชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ รวมตัวกันประท้วง ร้องเรียนกันมาตลอด เพราะพวกเขาเดือดร้อนจากฝุ่น แต่เสียงเรียกร้องของพวกเขาไม่ดังพอที่จะเข้าไปควบคุมการขนส่งถ่านหินให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมได้

นับจากปี 2549 ที่พวกเขาพยายามทวงถามไปตั้งแต่อำเภอ จังหวัด รวมไปถึงการถามไปถึงหน่วยงานที่ดูแลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างกระทรวงทรัพยากรฯ แต่ทุกอย่างยังเงียบ กระทั่งพวกเขาต้องรวมกันฟ้องศาลปกครอง จนในที่สุด ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ท่าเทียบเรือทั้ง 5 ท่า ระงับการดำเนินกิจการชั่วคราว

มิพักต้องบอกว่า ทั้งหมดทั้งปวงแลกมาด้วยชีวิตของทองนาค ทำให้สังคมสนใจ และหันกลับมาดูฝุ่นถ่านหินดำสนิท ที่ปลิวล่องลอยบนอากาศ จ.สมุทรสาคร ควรจะต้องได้รับการแก้ปัญหา

"พวกเราต้องเปลี่ยนอาชีพจากเดิม ที่ปลูกฝรั่ง มาปลูกข่าเพราะอยู่ใต้ดินไม่ต้องรับฝุ่นถ่านหิน" เกษตรกรรายหนึ่งบอก ว่า พวกเขาเดือดร้อนมาก เนื่องจากบ้านและพื้นที่การเกษตรของพวกเขาอยู่ติดกับโรงถ่านหินและท่าเรือ ทำให้ต้องทนฝุ่นดำที่ลอยมาตามพื้นบ้าน แต่ที่สำคัญ คือ ฝรั่งผลไม้ที่สร้างรายได้เดือนละหลายหมื่นบาท หยุดออกลูก และผิวฝรั่งที่เคยสวยงาม ก็ติดฝุ่นดำขายไม่ได้ราคา

ไม่เพียงเกษตรกรปลูกฝรั่งที่บ้านติดโรงงานเท่านั้น หากรวมไปถึงเกษตรกรที่เลี้ยงปลาสลิดขายรายหนึ่ง เขาบอกเช่นกันว่า ฝุ่นดำที่ลอยในอากาศทำให้เขาไม่สามารถตากปลาสลิดได้ บ้านของเขาต้องปิดตายตลอดเวลา เพราะว่าไม่สามารถทำความสะอาดได้วันละหลายรอบ ทั้งหมดพวกเขาร้องเรียนไปแล้วหลายรอบ แต่ไม่มีใครดำเนินการ ฝุ่นดำยังคงปลิวพัดมาเช่นเดิม

ผลกระทบของถ่านหิน ลามกระทบไปถึงแม่น้ำท่าจีน บริเวณปากอ่าว ซึ่งสมาคมชาวประมงที่นั้นบอกว่าเดิมพวกเขาเก็บหอยพิมพ์ หอยแมลงภู่ได้จำนวนมาก แต่ปัจจุบันทั้งหอยพิมพ์ ปลาทู ปลากระบอก กุ้ง ปลา ลดน้อยลงจำนวนมาก ซึ่งพวกเขาสันนิษฐานว่า น่าจะมาจากการที่เรือบรรทุกถ่านหินล่มในแม่น้ำ รวมไปถึงฝุ่นผงถ่านหินที่ปนเปื้อนในเรือ และเรือขนถ่านหินมักเทน้ำที่ปนเปื้อนลงแม่น้ำ ทำให้ฝุ่นถ่านหินปกคลุมหน้าดิน จนสัตว์น้ำไม่สามารถอยู่รอดได้

ความเดือดร้อนของชาวบ้าน คงไม่ได้รับการรับฟังหากไม่แลกมาด้วยชีวิตของทองนาค เรือบรรทุกถ่านหินที่ไร้ผ้าปกคลุม กองเก็บถ่านหินที่สูงเป็นภูเขายังคงกองท้าทายลม ที่พัดปลิวฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ...และคงเป็นตลกร้ายที่หัวเราะไม่ออก หลังการเสียชีวิตของทองนาค แกนนำคัดค้านการขนถ่ายถ่านหิน ต่างต้องใส่เสื้อเกราะ พกปืนเพื่อคุ้มกันตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าอำนาจเถื่อนในพื้นที่จะเข้าจัดการเมื่อไร... ขณะที่หน่วยงานราชการที่มีอำนาจสั่งการให้เกิดการจัดการที่ถูกต้อง ยังล่าช้า ไม่เร่งจัดการเช่นเดิม

source:http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/sirinart/20110825/406370/ฝุ่นถ่านหิน-สมุทรสาคร-ความทุกข์ของชาวบ้าน.html