วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

'ลดราคาน้ำมันเบนซิน' สวรรค์ของนักบิด พิชิตใจฐานเสียงสองล้อ 17 ล้านคัน

ช่วงนี้เดินผ่านวินรถจักรยานยนต์รับจ้างหรือเรียกสั้นๆ ตามภาษาปากง่ายๆ ว่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างวินไหน คงได้เห็นรอยยิ้มกว้างๆ จากเหล่าพี่วิน น้าวิน น้องวินกันถ้วนหน้า ด้วยความดีอกดีใจที่รัฐบาลชุดใหม่ ‘ปูแดง’ แผลงฤทธิ์เอาใจชาวบ้านตามนโยบายแก้บน อุตส่าห์ดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่ลั่นวาจาไว้เมื่อครั้งหาเสียงเสียที โดยประกาศยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันชั่วคราว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์คือราคาน้ำมันที่ลดลง โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน 91 และเบนซิน 95 ที่เหล่ามอเตอร์ไซค์ใช้กันอยู่ประจำ ซึ่งมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่าๆ นั้นใช้แต่เบนซิน ส่วนใหม่ๆ ก็ใช้แก๊ซโซฮอลล์บ้าง แต่ไม่ถูกใจ ด้วยมายาคติหลายอย่างเรื่องอัตราเร่ง และการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ เมื่อราคาน้ำมันเบนซินลดลงมาเกือบเท่าแก๊ซโซฮอลล์
‘สวรรค์ของนักบิด’ ก็รออยู่ข้างหน้ารำไร

นโยบายน้ำมัน ได้ใจสิงห์มอเตอร์ไซค์

สำหรับกลุ่มคนที่เห็นจะได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยหน้าใครก็น่าจะไม่พ้นกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ กว่า 17 ล้านคันนั่นเอง เพราะในส่วนของผู้ขับขี่รถยนต์นั้น คงไม่หันกลับไปใช้น้ำมันเบนซินกันเร็ววันนี้ง่ายๆ อย่างแน่นอน เนื่องจากต้องคำนึงถึงสภาพเครื่องยนต์ที่อาจเกิดปัญหาหากไม่ชินกับน้ำมัน

และจากการพูดคุยพบว่า เหล่าสิงห์มอเตอร์ไซค์ทั้งหลายล้วนคิดตรงกันว่า น้ำมันแก๊สโซฮอลล์นั้นแทบจะไม่มีอะไรดีไปกว่าเบนซินเลย นอกจากราคาที่ถูกกว่า เพราะเป็นน้ำมันเบนซินผสมแอลกอฮอล์เอทานอลในอัตราส่วน 9 ต่อ 1 ทำให้ราคาของมันถูกกว่าน้ำมันเบนซินเพียวร์ๆ แต่อย่างไรเหล่านักบิดก็ยังเชื่อว่าน้ำมันเบนซิน 91 กับน้ำมันเบนซิน 95 ย่อมดีกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นไหนๆ ด้วยเหตุผลนานัปการทั้งอัตราเร่ง ทั้งผลดีต่อสภาพเครื่องยนต์ ฯลฯ

เมื่อราคาของน้ำมันเบนซินตกลงเกือบแตะราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์เช่นนี้ จึงได้มีเฮกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะเหล่าวินมอเตอร์ไซค์ผู้เป็นฐานเสียงหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ซึ่งขับขี่กันเป็นอาชีพ สอดคล้องกับงานวิจัยในหัวข้อ "เจ้าของแผนที่: มานุษยวิทยาของมอเตอร์ไซค์รับจ้างในกรุงเทพฯ" ของ เคลาดิโอ โซปรานเซ็ตติ นักศึกษาระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้สะท้อนบทบาทที่มีต่อการเมืองอยู่มากของกลุ่มอาชีพมอเตอร์ไซค์รับจ้างว่า มีบทบาททางการเมืองมาตั้งแต่สมัยพฤษภาทมิฬ ปี 2535 โดยถูกจ้างเข้ามาสร้างความปั่นป่วน แต่หลังจากนั้นก็เกิดการสั่งสมความรู้ความเข้าใจเรื่องการเมืองระดับชาติ และกลับมามีบทบาทอีกครั้งในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างนั้นมีแนวคิดในเรื่องสองมาตรฐาน และเรื่องความยุติธรรมในประชาธิปไตย ซึ่งแน่นอนว่าจากนโยบายและท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อคำว่าประชาธิปไตยและสองมาตรฐานที่เน้นย้ำอยู่ตลอดเวลานั้น สอดคล้องลงล็อกและเป็นที่ถูกใจของกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่างแน่นอน

โดยจะเห็นว่าคนกลุ่มนี้ได้เข้ามามีบทบาทในที่ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งเป็นผู้ร่วมชุมนุม รับส่งผู้ชุมนุม และรวมอยู่ในกลุ่มจังหวัดบ้านเกิดของตน ซึ่งทำให้ต่อมาได้กลายเป็นฐานเสียงสำคัญกลุ่มหนึ่งของพรรคเพื่อไทย และนโยบายลดราคาน้ำมันล่าสุดนี้ ก็สามารถตอบสนองความต้องการของฐานเสียงอย่างกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างได้เป็นอย่างดี

เห็นได้จากเสียงสะท้อนของสมาชิกกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่าง แสวง ช่วงวิสัย หนุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างย่านบางพลัด ที่เปิดเผยว่า ตนยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทางรัฐบาลมีนโยบายปรับราคาน้ำมันลง เพราะอาชีพของตนนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับน้ำมันทุกวัน การที่ต้นทุนลดลงนั้นก็แสดงว่ารายได้ต้องเพิ่มขึ้น

“ดีขึ้นเยอะเลย จากที่เติมเต็มถังเกือบร้อย พอน้ำมันลดเต็มถังก็ 50 บาท มันก็ดีตรงที่ว่าค่างจ้างเท่าเดิม แต่ต้นทุนเราลดลงเราก็ได้กำไรเพิ่มขึ้น คือจุดนี้ผู้คนเดินทางกันเยอะบางทีก็จ้างไปไกลๆ คนรีบๆ เขาใช้บริการมอเตอร์ไซค์กันเยอะเพราะมันเร็ว ซอกแซกแซงรถติดๆ ได้ เงินก็เข้ามาเยอะขึ้น แต่ทีนี้มันกลายเป็นว่าปั๊มไม่มีน้ำมันให้เราเติม เพราะมันถูกแล้วมันหมดเร็ว คนเขาก็แห่มาเติม อย่างเราต้องเติมทุกวันเป็นประจำ ต้องกินต้องใช้ ก็มีปัญหาจากที่เติมปั๊มใกล้ๆ วิน ก็ต้องขับไปปั้มอื่นที่ไกลกว่าเพราะน้ำมันมันหมดไง”

อย่างไรก็ตาม ในความยินดีก็มีความไม่แน่ใจ แสวงคิดว่าอัตราน้ำมันเองก็อาจปรับราคาขึ้นเป็นทวีคูณได้ในอนาคต ซึ่งในจุดนี้เขากลับคิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องแบกความรับผิดชอบนี้ต่อไป

“ถ้าน้ำมันมันขึ้นราคามาอีก อย่างว่าเราต้องกินต้องใช้ก็ต้องยอมควักเงินจ่ายไป แต่ถ้าเกิดว่ามันขึ้นมามากๆ จนเราเองไม่ไหว ก็คงต้องปรับค่าโดยสารขึ้นเหมือนกัน และตรงนี้แหละมันจะไม่ส่งผลกระทบแค่เรา แต่ประชาชนที่ใช้มอเตอร์ไซค์ก็พลอยเดือดร้อนตามไปด้วย ถ้ามันจะขึ้นราคาอีกหรือจะลดลงอีกก็คงต้องปล่อยเป็นดุลพินิจของรัฐบาลเขาละ ประชาชนอย่างเราๆ ก็ต้องดิ้นรนกันไป”

มอเตอร์ไซค์ลิงโลด แต่ส่วนรวมรับภาระ

หากมองกันแค่ผิวเผินเปลือกนอก ก็ถือเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นๆ ของคนมีรายได้น้อยหรือหาเช้ากินค่ำในแบบมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่ในโลกใบนี้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั้นไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรือไม่ต้องแลกด้วยสิ่งใด นโยบายลดแลกแจกแถมแบบประชานิยมของรัฐบาลย่อมส่งผลกระทบในระยะยาวต่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศอย่างเลี่ยงไม่ได้ รศ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิตแสดงทัศนะว่า เรื่องนี้คงทำได้เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะมองระยะยาวกองทุนน้ำมันก็จะหมดเงินในที่สุด ขณะที่ราคาน้ำมันก็จะแพงขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ส่งผลให้โอกาสที่รัฐบาลจะพยุงราคาน้ำมันต่อไปนั้นเป็นไปได้น้อย อีกทั้งจะไม่สามารถพยุงราคาแก๊สหุงต้มได้

"ต้องยอมรับว่ามีโอกาสสูงมาก ที่ต่อไปรัฐบาลจะมีงบประมาณน้อย เพราะต้องเอาไปโน้นทำนี่เต็มไปหมด การลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลจึงเป็นเพียงการหาเสียงระยะสั้น เป็นสัญญาเรื่อยเปื่อย และเอาใจคนทุกกลุ่มมั่วไปหมด ทั้งฐานเสียงของเขาอย่างมอเตอร์ไซค์หรือชนชั้นกลาง คือผมมองว่าเขาคงคิดว่าอะไรที่มันทำได้ แล้วเห็นผลทันตา เช่น น้ำมันลดราคาเห็นผลทันตา คนก็ชอบ เพราะคนก็ใช้น้ำมันกันเยอะ"

ถึงแม้ว่า รศ.วิทยากร จะกล่าวถึงแคมเปญนี้ว่า เอาใจคนทุกกลุ่ม แต่กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไม่น้อยหน้าใครก็คงหนีไม่พ้นกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างฐานเสียงพรรคเพื่อไทยอยู่ดี ส่วนในเรื่องการแก้ไขปัญหา ซึ่งมีอันจะต้องบังเกิดขึ้นในอนาคตนั้น รศ.วิทยากร กล่าวว่า จากที่รัฐบาลมีพื้นฐานจากการคิดอะไรสั้นๆ อนาคตการแก้ไขปัญหาก็คงจะทำในรูปแบบเฉพาะหน้าเช่นเดียวกันอีกแน่นอน เพราะเพียงแค่นี้ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลไม่ได้วางแผนระยะยาวเลย และน่าจะคาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตมากเกินไป เช่น อาจจะหาเงินมาโปะส่วนที่ขาดทุนไปได้ ดังนั้น โอกาสที่จะได้ใจของประชาชน จึงมีแค่ระยะสั้นๆ 6 เดือน -1 ปี ที่กองทุนน้ำมันยังพยุงราคาไหวเท่านั้น หลังจากนั้นก็คงต้องรอดูกันไปในอนาคต

ภาพมายาความสุขช่วงสั้นๆ ที่จะตามมาด้วยฝันร้าย

“เรียกว่าถลุงเงินส่วนรวม แล้วก็ผลักภาระกลับมาที่สังคม ชนชั้นกลางก็ไม่สามารถแบกภาระนี้ไว้ได้นาน แล้วไม่นานประเทศก็จะพัง”

รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวอย่างหวั่นวิตก พร้อมชี้ว่า จุดกำเนิดนโยบายนี้ก็ไม่พ้นการเอาใจประชาชนตามแบบนโยบายประชานิยมอย่างที่พรรคเพื่อไทยถนัดเป็นอย่างดี ซึ่งได้ลั่นประกาศสัญญามาตั้งแต่ตอนช่วงหาเสียง เมื่อได้เข้าเป็นรัฐบาลก็ต้องรีบเร่งทำตามคำสัญญา โดยไม่ได้คำนึงว่าเมื่อเปรียบเทียบความสุขปลอมๆ ที่จะได้ในระยะสั้นๆ กับผลเสียมหาศาลในระยะยาวแล้ว คนไทยจะต้องสูญเสียและแบกรับปัญหาพลังงานพร้อมกับปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกมากมายเพียงใด

สอดคล้องกับ รศ.วิทยากร ที่กล่าวว่า นอกจากรัฐบาลนี้จะใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลืองเพื่อเอาใจประชาชนแล้ว นโยบายนี้ยังส่งเสริมให้คนฟุ่มเฟือยมากขึ้นโดยลืมไปว่าราคาน้ำมันที่ลดลงนั้นไม่ได้ลดลงโดยกลไกตลาดโลก

"ต้องยอมรับว่ารัฐบาลใช้เงินสิ้นเปลืองมาก แถมยังสร้างค่านิยมให้คนไม่รู้จักประหยัดอีกต่างหาก แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็จะเต็มไปหมด ทั้งเรื่องที่ประเทศจะเป็นหนี้มากขึ้น สิ่งแวดล้อมก็จะเป็นปัญหามากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้ามองในระยะยาวมันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็แค่เป็นการต้องการอวดตัวเองว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ สามารถสั่งโน้นสั่งนี่ได้”

ทั้งนี้ รศ.ดร.สุวินัย มองว่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แท็กซี่ หรือกลุ่มใดๆ ที่ยินดีกับการหยิบยื่นประโยชน์เล็กๆ ก้อนนี้ จะได้รับประโยชน์เพียงน้อยนิดในเวลาอันสั้นเท่านั้น

“เข้าใจว่าเขาทำตามที่สัญญาไว้ แต่ว่าในทางเศรษฐศาสตร์เป็นนโยบายที่แย่มากๆ เรื่องนี้มันไปบิดเบือนโครงสร้างราคาน้ำมันหมด แล้วทำให้คนฟุ่มเฟือยมากขึ้น แต่ที่แย่กว่านั้นคือราคาสินค้าจะไม่ถูกลง เพราะผู้ผลิตสินค้าก็เข้าถึงข่าวสารก็รู้ว่า การลดราคาแบบนี้คงลดได้ไม่นานหรอก เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ฉวยโอกาสกันไป แต่ผู้ผลิตก็รู้ว่ามันชั่วคราว เดี๋ยวราคาก็ขึ้นมาเท่าเดิม เพราะรัฐบาลก็จะไม่สามารถแบกรับภาระได้นาน ที่สำคัญนโยบายนี้มันทำลายมาตรการรักษาความมั่นคงด้านน้ำมันในระยะยาว และนโยบายพลังงานทดแทนที่พยายามทำกันมา”

เช่นเดียวกับ รศ.วิทยากร ที่กล่าวว่าสิ่งสำคัญคือ ประชาชนต้องตระหนักถึงปัญหาระยะยาวที่จะตามมาหลังนโยบายนี้ให้มาก

"ผมคิดว่าทางออกเรื่องนี้ก็คือ ประชาชนต้องเข้าใจปัญหามากขึ้นว่าการลดอะไรต่างๆ มันมีผลต่อประเทศระยะยาว เพราะทุกอย่างมันไม่ได้มาฟรีๆ การอุ้มน้ำมันก็เท่ากับต้องเอาภาษีอย่างอื่นมาใช้ ซึ่งถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จริงๆ เราต้องประเมินให้ดีว่าจะแก้ปัญหาของประเทศให้เกิดความเป็นธรรมได้อย่างไร ประหยัดพลังงานอย่างไร ต้องมองให้รอบด้านกว่านี้"

ซึ่งหากย้อนกลับไปดูความเห็นของตัวแทนกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างข้างต้น สถานการณ์ก็คงอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วงไม่ใช่เล่น มาถึงจุดนี้ รศ.ดร.สุวินัย มองว่า จะโทษรัฐบาลที่ออกนโยบายไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะประชาชนเองก็มีส่วนผิด ที่เลือกพรรคนี้ด้วยนโยบายแบบประชานิยมเช่นนี้จนได้รับชัยชนะเด็ดขาด จนมีอำนาจจัดการสาธารณสมบัติแทนประชาชนไทย

“คนที่เลือกพรรคนี้มาด้วยนโยบายนี้ก็มีส่วนผิด กว่าจะรู้ก็คงสายไปเสียแล้ว นี่คือความเขลาของเสียงส่วนใหญ่ ตอนนี้ต่างคนต่างก็ตักตวงผลประโยชน์กันไป ซึ่งรัฐบาลที่ดีนั้นไม่ควรคิดนโยบายที่ตั้งข้อแม้ให้คนต้องเห็นแก่ตัวเช่นนี้ นี่ถือเป็นโศกนาฏกรรมของทรัพย์สินสาธารณะ (Tragedy of commons) หากคนเราไม่เผชิญหน้ากับความจริงหรือหนีความจริง สุดท้ายก็จะต้องเจอกับความทุกข์ ในทางเศรษฐกิจก็ไม่ต่างกัน ถ้ารัฐบาลไม่พยายามจะบอกให้ประชาชนเผชิญหน้าความจริง ทุกข์ทางเศรษฐกิจนั้นจะมากยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า อันนี้เป็นสัจธรรม”.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น