ในยุคปัจจุบันที่โลกเกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ
ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน
ส่งผลให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจต้องหันมาให้การตระหนักในเรื่องดังกล่าว
เพราะการดำเนินธุรกิจและตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมถือเป็นแนวทางการพัฒนาองค์กร
อย่างยั่งยืน
และอีกหนึ่งกลุ่มบริษัทชั้นนำที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่าง
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด หรือ เอสซีจี (SCG)
ก็ได้ดำเนินธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล และแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โดยมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างมูลค่า
เพิ่มและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคปัจจุบัน ประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
ธุรกิจเคมีภัณฑ์ ธุรกิจกระดาษ ธุรกิจซีเมนต์ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง
ธุรกิจจัดจำหน่าย
โดยคุณธนศักด์ สาคริกานนท์ ประธานคณะกรรมการ SCG eco value
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด หรือ เอสซีจี (SCG) เล่ากับทาง “สยามธุรกิจ” ว่า
จากวิสัยทัศน์ของเครือซิเมนต์ไทย (SCG)
ที่ต้องการให้บริษัทเป็นบริษัทชั้นนำที่มุ่งสู่ความเป็นผู้นำในอาเซียน
และเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในระดับโลก
ดังนั้นเราจะต้องดำเนินธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาลและแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ซึ่งการพัฒนาอย่างยั่นยืนจะต้องประกอบไปด้วย 3 หลักการคือ เศรษฐกิจ
สังคมและสิ่งแวดล้อม
“3
หลักการดังกล่าวที่ถือเป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งอย่างเศรษฐกิจ
คือเราต้องมองการเติบโตทางด้านผลกำไรเพื่อให้ผลตอบแทนของบริษัทให้ผู้ถือหุ้นและพนักงานของเรา
และส่วนที่สอง คือเรื่องของสังคม เราต้องนึกถึงชุมชนรอบๆ ที่เราเข้าไปดำเนินการ
และสังคมของพนักงานทั้งภายในและภายนอก และส่วนสุดท้าย
คือสิ่งแวดล้อมที่เราต้องดูแลเป็นสำคัญเช่นกัน”
ทั้งนี้
จากความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสร้างคุณค่าให้สังคม
เอสซีจีจึงได้ให้ความสำคัญกับการวิจัย
พัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคไปพร้อมกับการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
จึงได้คิดค้นพัฒนากำหนดฉลากสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมประเภทการรับรองตนเอง
ภายใต้ฉลาก SCG eco value ขึ้น ซึ่งถือเป็นองค์กรไทยรายแรกที่ได้ทำเรื่องดังกล่าว
“การทำเรื่อง SCG eco value
นั้นเราต้องการทำอะไรให้ลูกค้าทั่วไปสามารถได้รับรู้ว่าสินค้าอะไรของเอสซีจีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ซึ่งอันที่จริงทางเอสซีจีได้ทำสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมานานแล้ว
แต่ได้รับการรับรองจากฉลากเขียว เท่านั้น
แต่การรับรองจากฉลากเขียวมีข้อจำกัดเพราะจะออกไม่ครอบคลุมในทุกหมวดหมู่สินค้าของบริษัท
ดังนั้นเราจึงไปศึกษาเครื่องหมายรับรองที่มีอยู่ทั่วโลก สรุปว่ามีอยู่ 3 แบบ คือ
แบบฉลากเขียวที่เรารู้จักโดยทั่วไปที่รับรองจากรัฐ และสอง
มาตรฐานรับรองโดยที่บริษัทรับรองเอง
แต่ต้องเป็นบริษัทที่มีกระบวนการทำออกมาเป็นมาตรฐาน และสาม การรับรองมาตรฐานแบบ LCA
คือการประเมินแบบครบวงจรในวัฏจักรในทุกผลิตภัณฑ์”
เขาบอกต่อว่า
ที่มาของชื่อ eco value มาจาก คำว่า eco คือ Ecology + Economy หมายถึง
ความสมดุลกันของสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ
ที่พร้อมจะเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน และ value หมายถึง คุณค่าที่ผู้บริโภค สังคม
และสิ่งแวดล้อมได้รับจากการสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการ ดังนั้น SCG eco
value คือ
ฉลากรับรองสินค้าหรือบริการที่มีกระบวนการผลิตหรือการใช้งานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
และมีคุณสมบัติความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าสินค้าทั่วไป แบ่งในการวัดเป็น 2
ประเภท คือ Eco Process คือ
สินค้าหรือบริการที่มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ Eco Use คือ
สินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อนำไปใช้
ทั้งนี้
มาตรฐานในการวัดของ SCG eco value เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจ
เอสซีจีจึงได้กำหนดเกณฑ์การพิจารณาโดยอ้างอิงมาตรฐาน ISO 14021 (Environmental
Labels and Declarations-Self Declared Environmental Claims)
ควบคู่ไปกับความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย
และผลกระทบที่เกิดขึ้นตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ อาทิ การออกแบบ การลดการใช้วัตถุดิบ
พลังงาน น้ำในการผลิตและการใช้งานของผู้บริโภค การใช้วัสดุและพลังงานหมุนเวียน
การนำกลับมาใช้ใหม่ การลดของเสีย และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาด้านเทคนิค (Technical Team)
เป็นผู้พิจารณาให้การรับรองสินค้าและบริการให้ได้รับฉลากดังกล่าว
โดยปัจจุบันมีสินค้าที่ผ่านการรับรองฉลาก
SCG eco value รวมอยู่ประมาณ 47 ผลิตภัณฑ์/บริการ มากกว่า 270 รายการ ได้แก่
1.เม็ดพลาสติก PE 100, PE 80 2.กระดาษกรีนการ์ด (Green Card Paper)
3.ปูนซีเมนต์ตราช้าง 4.กระเบื้อง Eco Touch, Eco Rockrete และ
5.กาวยาแนวสูตรเพิ่มสารทนกรด ตราเสือมอร์ตาร์ เป็นต้น
“เรามองว่าในภายในอีก
5 ปีข้างหน้า ธุรกิจแบบดังกล่าวจะต้องมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะภาวะโลกร้อนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นถ้าเรามุ่งมั่นในการทำให้สินค้าดังกล่าวเป็นไปในรูปแบบ Mind eco คือ
ให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่มีความสนใจในเรื่องนี้
แต่ถ้าจ่ายซื้อสินค้าพวกนี้ในราคาที่แพงกว่านิดหน่อยก็จะทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้าดังกล่าวมากขึ้น
และก็จะทำให้เราทุกคนสามารถช่วยโลกได้ด้วย”
ประธานคณะกรรมการ SCG eco value
บอกทิ้งท้ายว่า
จากความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้รับประโยชน์และมีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
รวมถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยี และสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง
เอสซีจีจะพยายามที่จะผลักดันให้ตลาดมีสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างแพร่หลาย
และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
โดยตั้งเป้าหมายให้ภายในปี 2558 เอสซีจีจะมีมูลค่ายอดของสินค้าและบริการ SCG eco
value 30%
source: http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413355374
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น