วันนี้ เป็นสันแรกที่ราคาน้ำมันเบนซิน 95
และเบนซิน 91 ลดลง 7 ถึง 8 บาท และน้ำมันดีเซลลดลงอีก 3 บาท หลังจากที่รัฐบาลชุด
นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
มีนโยบายไม่เก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกับน้ำมันทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว
โดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาการยกเลิกการจัดเก็บ
และจากการติดตามข่าวว่าจะมีกระแสผู้ใช้ยวดยานทั้งหลายแห่กันไปเติมน้ำมันแน่นสถานีบริการ
ก็กลับเป็นว่าเหตุการณ์ปกติ เพียงแต่น้ำมันเบนซินทั้ง 2
ชนิดขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่บ่าย
จากหลายมุมมองที่กล่าวถึงนโยบายนี้
บ้างก็ว่าจะทำให้คนไทยใช้รถยนต์ส่วนตัวกันมากขึ้น
โดยเฉพาะรถหรูราคาเรือนล้านทั้งหลาย จะเป็นการใช้น้ำมันกันอย่างฟุ่มเฟือย
รวมถึงส่งผลให้ราคาแก๊สที่เคยได้รับการสนับสนุนจากเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอาจมีการปรับราคาขึ้น
และลามเป็นลูกโซ่ถึงราคาสินค้า อาหารต่างๆ
ก็จะขึ้นราคาตามมาอีกในอนาคต
แต่จากมุมมองของกระทรวงพลังงานและรัฐบาล
ได้มองไปที่ปี พ.ศ.2558 ที่ประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซี่ยนอย่างเต็มตัว
ซึ่งนั่นก็หมายถึงพรมแดนด้านการค้าก็จะเปิดกว้างโดยปราศจากเรื่องของภาษีนำเข้า-ส่งออกอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้คนไทยต้องใช้น้ำมันเบนซินในราคาที่สูงกว่าประชาชนของประเทศเพื่อนบ้าน
ถึงวันนี้คนไทยได้ใช้น้ำมันเบนซินด้วยราคาที่สูสีกับเพื่อนบ้านแล้ว
ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนสูงกว่าในประเทศเรา และอีก 4
ปีข้างหน้าถ้ากลุ่มประเทศอาเซียนเปิดอ้าอย่างไร้พรมแดน
แน่นอนว่าก๊าซธรรมชาติที่ผลิตและจำหน่ายในบ้านเราก็จะทะลักออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างอิสระเสรี
ด้วยข้อกำหนดในเรื่องเขตการค้าเสรีของประชาคมอาเซียน
ถึงเวลานั้นบ้านเราอาจจะเกิดภาวะขาดแคลนก๊าซธรรมชาติก็เป็นได้
ถ้าหากปล่อยให้ราคาก๊าซธรรมชาติ
ราคาน้ำมัน เป็นไปตามกลไกการตลาด อย่างไรคนไทยก็ได้ใช้ก๊าซใช้น้ำมันในราคาที่เท่าๆ
กับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประชาคมอาเซียนจะดีกว่าไหม?
หรือจะปล่อยให้คนไทยขับรถเข้าไปเติมน้ำมันในประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งก็คงจะสะดวกเฉพาะคนที่อยู่ตามแนวชายแดน
และให้ประเทศในประชาคมอาเซียนเป็นสิบประเทศ
สั่งซื้อก๊าซจากบ้านเราไปใช้กันด้วยราคาที่ถูกแสนถูก
นั่นก็จะเท่ากับว่าผู้ใช้น้ำมันชาวไทยต้องแบกรับภาระเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เพื่อการใช้ก๊าซในราคาถูกให้กับคนทั้งประชาคมอาเซียน
หากเป็นเช่นนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของเราจะทนรับภาระเช่นนี้ได้หรือไม่?
จะเป็นการยังประโยชน์สูงสุดเพื่อคนไทยทั้งประเทศได้หรือเปล่า?
และเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของคนไทยได้จริงหรือ?
พูดถึงเรื่องการรณรงค์ให้ประชาชนใช้พลังงานกันอย่างประหยัด
อย่างเรื่องของยานพาหนะต่างๆ ทั้งรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์
ปัจจุบันผู้ผลิตค่ายรถต่างๆ ก็คิดค้นเทคโนโลยีที่จะทำให้การใช้น้ำมันประหยัดมากขึ้น
อาทิ การพัฒนาเครื่องยนต์ให้เป็นระบบหัวฉีดแทนระบบคาร์บูเรเตอร์
รวมทั้งพัฒนาให้สามารถใช้กับพลังงานทดแทนได้
รวมถึงการจัดกิจกรรมอย่าง
การแข่งขันฮอนด้าประหยัดเชื้อเพลิง หรือ Honda Eco Mileage Challenge ที่ บริษัท
เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด จัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 14 แล้ว
นับว่าเป็นกิจกรรมที่ไม่เพียงทำให้เห็นเป็นรูปธรรมในการส่งเสริมการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และทักษะด้านวิศวกรรมยานยนต์
แต่ยังเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกด้านการประหยัดพลังงานให้กับเยาวชนไทยที่เข้าร่วมการแข่งขัน
พร้อมทั้งยังสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้แสดงพลังความคิด
พิสูจน์ไอเดียมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีประหยัดน้ำมันเพื่อมนุษยชาติและสิ่งแวดล้อม
กิจกรรมดีๆ
เช่นนี้
ถ้าภาครัฐทุกส่วนที่ไม่เพียงแค่กระทรวงศึกษาธิการเท่านั้นให้การส่งเสริมและสนับสนุน
พร้อมร่วมจัดกับเอกชนอย่างจริงจัง
ไม่แน่ว่าในอนาคตประเทศไทยเราอาจจะสามารถผลิตยานพาหนะที่ประหยัดน้ำมันแบบเป็นร้อยเป็นพันกิโลเมตรต่อลิตรได้สำเร็จก็ได้
และในเวลานั้นน้ำมันจะราคาลิตรละเป็นร้อยบาทก็คงไม่ทำให้ผู้ใช้เดือดร้อนแต่อย่างใด
source:http://www.banmuang.co.th/motor.asp?id=247126
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น