ศตวรรษที่ 21 ซึ่งไม่เหมือนศตวรรษก่อนๆ นี้บ่งบอกได้ด้วยพลังแห่งการเกื้อกูลกัน กล่าวคือ การปฏิสนธิข้ามระหว่างทั้งสามสาขาวิชา ซึ่งเป็นเครื่องหมายของจุดเปลี่ยนอย่างเฉียบพลันในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ การผสมข้ามพันธุ์ระหว่างการปฏิวัติทั้งสามนี้จะถูกเร่งอย่างรุนแรงและเพิ่มความหลากหลายให้แก่การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และมอบอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในการจัดการกับสสาร ชีวิต และสมองกล
ที่จริงแล้วมันเป็นการยากที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์วิจัยในอนาคตโดยไม่มีความรู้เกี่ยวกับทั้งสามสาขาวิชาเหล่านี้อยู่บ้างเลย นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติทั้งสามนี้จะพบแล้วว่าตนเองอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างการปฏิวัติทั้งสามเป็นรูปแบบที่เปลี่ยนผันได้อย่างรุนแรง บ่อยครั้งเมื่อเกิดทางตันขึ้นในสาขาวิชาหนึ่งๆ โดยปกติแล้วก็พบว่ามีคำตอบในการพัฒนาที่เหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิงในอีกสาขาวิชาหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งนักชีววิทยารู้สึกสิ้นหวังในการที่จะถอดรหัสยีนจำนวนเป็นล้านๆ ซึ่งบรรจุแบบพิมพ์แห่งชีวิตเอาไว้ แต่กระแสของยีนที่ค้นพบในห้องทดลองนั้นขับเคลื่อนโดยพัฒนาการของอีกสาขาหนึ่ง การเพิ่มอย่างทวีคูณของอำนาจแห่งการคำนวณทำหน้าที่เป็นกลไกและเรียงลำดับยีนได้โดยอัตโนมัติ ที่คล้ายๆ กันก็คือ แผงวงจรคอมพิวเตอร์ที่ทำจากซิลิกอนจะเข้าถึงจุดอิ่มตัวเมื่อพวกมันเชื่องช้าเกินไปสำหรับคอมพิวเตอร์ในศตวรรษหน้า แต่ความก้าวหน้าใหม่ๆ ในการวิจัยดีเอ็นเอทำให้เกิดสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ชนิดใหม่ซึ่งคำนวณโดยมีพื้นฐานอยู่บนโมเลกุลอินทรีย์ ดังนั้น การค้นพบทั้งหลายในสาขาหนึ่งจึงหล่อเลี้ยงและส่งเสริมการค้นพบในสาขาที่ไม่มีความคาบเกี่ยวกันโดยสิ้นเชิง
หนึ่งในผลที่ตามมาจากพลังงานเกื้อกูลอันเข้มแข็งระหว่างการปฏิวัติต่างๆ เหล่านี้คือก้าวย่างที่สม่ำเสมอของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์กำลังเร่งขึ้นสู่อัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
ความมั่งคั่งของชาติ
ความเร่งรุดของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าสู่ศตวรรษต่อไปนี้จำเป็นต้องมีผลกระทบต่อความมั่งคั่งของชาติและมาตรฐานการดำรงชีพของเรา สามศตวรรษที่ผ่านมานี้ความมั่งคั่งโดยปกติแล้วถูกสั่งสมโดยชาติที่ถึงพร้อมด้วยทรัพยากรธรรมชาติหรือได้เก็บสะสมทุนไว้เป็นปริมาณมาก การถือกำเนิดขึ้นของมหาอำนาจในยุโรปในศตวรรษที่ 19 และของสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 20 เป็นไปตามหลักการที่พบเห็นได้ในตำราข้อนี้
อย่างไรก็ตาม เลสเตอร์ ซี. ทูโรว์ (Lester C. Thurow) อดีตคณบดีของคณะบริหารของ MIT (Sloan School of Management, Massachusetts Institute of Technology) เน้นย้ำไว้ว่า ในศตวรรษที่กำลังจะมาถึงจะมีการโยกย้ายความมั่งคั่งจากชาติที่มีทรัพยากรธรรมชาติและทุนสะสม ในแบบเดียวกันกับการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกที่สามารถก่อให้เกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงได้ การเคลื่อนที่ของความมั่งคั่งที่ก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนจะจัดรูปการกระจายอำนาจบนโลกใบนี้ ทูโรว์เขียนไว้ว่า ในศตวรรษที่ 21 กำลังสมองและจินตนาการ
ประดิษฐกรรม และการจัดกลุ่มเทคโนโลยีใหม่เป็นกุญแจสำคัญเชิงกลยุทธ์ ที่จริงแล้วหลายชาติที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์จะพบว่าความมั่งคั่งของพวกเขาลดลงอย่างมากด้วยเหตุผลที่ว่า ในตลาดการค้าในอนาคตสินค้าจะมีราคาถูก การค้าขายจะเป็นเครือข่ายทั้งโลก ตลาดจะถูกเชื่อมโยงด้วยระบบอิเล็ก-ทรอนิกส์ ที่เกิดขึ้นแล้วก็คือ ราคาสินค้าของทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างได้ตกลงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์จากช่วงทศวรรษ 1970 ถึงทศวรรษ 1990 และจากการประมาณการของทูโรว์ จะตกลงอีก 60 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2020
แม้แต่เงินทุนสะสมเองก็จะถูกลดสภาพกลายเป็นสินค้าหนึ่งที่วิ่งแข่งขันกันรอบโลกผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หลายชาติที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติจะเจริญงอกงามในศตวรรษหน้า เพราะว่าพวกเขาวางหลักประกันไว้บนเทคโนโลยีที่ทำให้เป็นต่อในการแข่งขันในตลาดโลกได้ ทุกวันนี้ความรู้และทักษะจะยืนหยัดเป็นหนึ่งในฐานะแหล่งความได้เปรียบเดียวที่เปรียบเทียบกันได้ ทูโรว์ยืนยัน
ผลที่ตามมาก็คือ บางชาติได้รวบรวมรายชื่อเทคโนโลยีสำคัญต่างๆ ที่จะรับใช้พวกเขาในฐานะเครื่องยนต์กลไกแห่งความมั่งคั่งและร่ำรวยสู่ศตวรรษหน้า รายชื่อสามัญรวบรวมขึ้นในปี 1990 โดยกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมต่างประเทศของประเทศญี่ปุ่นรายชื่อนั้นรวมถึง
‘ ไมโครอิเล็กทรอนิกส์
‘ เทคโนโลยีชีวภาพ
‘ อุตสาหกรรมวัสดุศาสตร์ใหม่
‘ โทรคมนาคม
‘ การผลิตเครื่องบินโดยสาร
‘ เครื่องมือเครื่องจักรและหุ่นยนต์
‘ คอมพิวเตอร์ (ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์)
เทคโนโลยีใดๆ ที่คัดสรรมาเพื่อนำพาศตวรรษที่ 21 ล้วนหยั่งรากลึกในการปฏิวัติเชิงควอนตัม คอมพิวเตอร์ และดีเอ็นเอ โดยไม่มีข้อยกเว้น
ที่สำคัญก็คือ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ทั้งสามไม่ได้เป็นเพียงกุญแจสู่ความก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษต่อไปเท่านั้น พวกมันยังเป็นเครื่องจักรแห่งความมั่งคั่งและความร่ำรวยที่ไม่เคยหยุดนิ่งด้วย ชาติต่างๆ อาจจะกล้าแกร่งขึ้นหรือล่มสลายลงเพราะความสามารถของพวกเขาที่จะใช้ประโยชน์จากการปฏิวัติทั้งสามนี้ ในกิจกรรมใดๆ ย่อมต้องมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ ผู้ชนะนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นชาติที่เล็งเห็นถึงความสำคัญยิ่งของการปฏิวัติทั้งสาม พวกที่มองข้ามพลังของการปฏิวัติเหล่านี้อาจจะพบว่าตนเป็นพวกชายขอบในตลาดการค้าโลกในศตวรรษที่ 21
กรอบเวลาสำหรับอนาคต
ในการทำนายเกี่ยวกับอนาคต เราจำเป็นต้องเข้าใจกรอบเวลาที่กำลังถกเถียงกันอยู่นี้ เพราะเป็นที่แน่ชัดว่าเทคโนโลยีที่แตกต่างกันจะเติบโตสมบูรณ์ในเวลาที่ต่างกัน กรอบเวลาของการทำนายในหนังสือเล่มนี้แยกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การค้นพบและเทคโนโลยีซึ่งจะวิวัฒนาการตั้งแต่ปัจจุบันถึงปี 2020 พวกที่จะวิวัฒนาการตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2050และพวกที่จะปรากฏโฉมตั้งแต่ปี 2050 ไปจนถึงสิ้นศตวรรษที่ 21 (นี่ไม่ใช่กรอบเวลาที่ตายตัว พวกมันเพียงแค่แสดงช่วงเวลาทั่วไปที่เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์บางอย่างจะผลิดอกออกผล)
สู่ปี 2020
จากวันนี้ถึงปี 2020 นักวิทยาศาสตร์เห็นการระเบิดของกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ในแบบที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน ในสองเทคโนโลยีหลักคือพลังของคอมพิวเตอร์และการถอดรหัสดีเอ็นเอ เราจะเห็นอุตสาหกรรมทั้งหมดเจริญงอกงามและล่มสลายบนพื้นฐานของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ร่ายมนตร์สะกดเราไว้ ตั้งแต่ทศวรรษ 1950 พลังของคอมพิวเตอร์ได้ก้าวหน้าไปโดยราวหมื่นล้านเท่า แท้ที่จริงแล้ว ด้วยเหตุที่ทั้งพลังคอมพิวเตอร์และการถอดรหัสดีเอ็นเอเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 2 ปี เราก็สามารถคำนวณกรอบระยะเวลาที่ความก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์จะเกิดขึ้น นี่หมายความว่าการทำนายเกี่ยวกับอนาคตของคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีชีวภาพสามารถประเมินเป็นตัวเลขด้วยความแม่นยำทางสถิติที่สมเหตุสมผลออกมาเป็นประมาณปี 2020
สำหรับคอมพิวเตอร์นั้น อัตราการเติบโตที่ไม่เคยลดละถูกกำหนดเชิงปริมาณโดยกฎของมัวร์ซึ่งกล่าวไว้ว่า พลังของคอมพิวเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 18 เดือน โดยประมาณ (ความคิดนี้เสนอขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1965 โดยกอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล มันไม่ใช่กฎทางวิทยาศาสตร์ในแง่เดียวกันกับกฎของนิวตัน แต่เป็นหลักการแปลกแต่จริงง่ายๆ ที่ได้ทำนายวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์มาหลายสิบปีแล้วได้อย่างเหลือเชื่อ) กฎของมัวร์ ในทางกลับกัน กำหนดชะตาของบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ที่วางพื้นฐานแผนการในอนาคตและออกรุ่นผลิตภัณฑ์โดยฝากความหวังไว้กับการเติบโตอย่างต่อเนื่องดังกล่าว ภายในปี 2020 เครื่องประมวลผลขนาดเล็ก (microprocessor) มีแนวโน้มที่จะมีราคาถูกและมีจำนวนมากเหมือนเศษกระดาษเครื่องประมวลผลจำนวนเป็นล้านๆ จะกระจัดกระจายอยู่รอบตัวเราเพื่อเป็นระบบอัจฉริยะ (intelligent systems) ให้เราเชื่อมต่อได้ทุกที่ ทุกสิ่งรอบตัวเราจะเปลี่ยนไป รวมถึงธรรมชาติของการค้า ความมั่งคั่งของชาติ และวิธีที่เราติดต่อสื่อสาร ทำงาน เล่นสนุก และดำรงชีวิต เราจะมีบ้านอัจฉริยะ รถ ทีวี เสื้อผ้า อัญมณี และเงินตรา เราจะพูดกับเครื่องใช้ของเราและพวกมันจะตอบกลับ นักวิทยาศาสตร์ยังคาดไว้ด้วยว่าเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะเชื่อมโยงทั้งโลกเข้าไว้ด้วยกัน และวิวัฒนาการเป็นเยื่อที่ประกอบไปด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายล้านเครือข่ายรวมกันเป็น ดาวเคราะห์อัจฉริยะ ในที่สุดเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะกลายเป็น กระจกวิเศษ ที่เคยปรากฏอยู่เพียงแต่ในนิทาน มันสามารถพูดตอบโต้ด้วยความชาญฉลาดของมนุษยชาติเอง
อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าปฏิวัติวงการที่สามารถแกะทรานซิสเตอร์ขนาดเล็กลงจากแผ่นซิลิกอน นักวิทยาศาสตร์คาดว่าแรงขับเคลื่อนที่ไม่หยุดยั้งนี้จะสรรค์สร้างคอม-พิวเตอร์ที่ล้ำยุคและมีสมรรถนะสูงไปจนถึงปี 2020 ที่ในที่สุดกฎเหล็กของฟิสิกส์์ควอนตัมจะรับช่วงต่ออีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นขนาดชิ้นส่วนของตัวประเมินผลจะเล็กลงเหลือราวขนาดของโมเลกุล และปรากฏการณ์ควอนตัมจะครอบคลุมทั้งหมดและยุคซิลิกอนในตำนานก็จะสิ้นสุดลง
เส้นกราฟแสดงการเติบโตของเทคโนโลยีชีวภาพจะน่าตื่นตาไม่น้อยหน้ากันในยุคนี้ในการวิจัยทางชีวโมเลกุล สิ่งที่ขับเคลื่อนความสามารถอันน่าอัศจรรย์ที่จะถอดรหัสความลับแห่งชีวิตคือการนำคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์มาเรียงรหัสดีเอ็นเอแบบอัตโนมัติ กระบวนการนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละจนกระทั่งราวปี 2020 จนกระทั่งกล่าวได้ว่าสิ่งมีชีวิตหลายพันชนิดจะถูกถอดรหัสดีเอ็นเอ ก่อนจะถึงตอนนั้นเป็นไปได้ว่าใครก็ตามบนโลกนี้จะมีรหัสดีเอ็นเอของตนเองเก็บไว้ในแผ่นซีดี ถึงตอนนั้นเราจะมีพจนานุกรมแห่งชีวิต
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ผูกพันอย่างลึกซึ้งกับชีววิทยาและการแพทย์ โรคทางพันธุกรรมจำนวนมากจะถูกกำจัดไปโดยการฉีดยีนที่ถูกต้องเข้าไปในเซลล์ของผู้ป่วย และด้วยสาเหตุที่ขณะนี้ค้นพบว่ามะเร็งเป็นการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม มะเร็งกลุ่มใหญ่อาจรักษาได้ในที่สุดโดยไม่ต้องผ่าตัดที่รบกวนบริเวณรอบๆ หรือทำเคมีบำบัด ในทำนองเดียวกัน สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีส่วนในการเกิดโรคติดต่อจะถูกพิชิตในความจริงเสมือนโดยการระบุจุดอ่อนในเกราะหุ้มของพวกมัน และสร้างตัวการทางเคมีโจมตีจุดอ่อนเหล่านั้น ความรู้ทางโมเลกุลของเราเกี่ยวกับการพัฒนาเซลล์จะก้าวหน้าไปถึงขั้นที่สามารถปลูกทั้งอวัยวะ รวมถึงตับและไตได้ในห้องทดลอง
จากปี 2020 ถึงปี 2050
คำทำนายถึงการเติบโตอย่างรุนแรงของอำนาจของคอมพิวเตอร์และการถอดรหัสดีเอ็นเอจากบัดนี้จนถึงปี 2020 นั้นอาจดูเหมือนจะหลอกลวงไปเล็กน้อย ในแง่ที่ว่าทั้งคู่นั้นขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว พลังคอมพิวเตอร์ขับเคลื่อนโดยใส่ทรานซิสเตอร์เข้าไปยังตัวปฏิบัติการขนาดเล็ก ขณะที่การถอดรหัสดีเอ็นเอทำโดยระบบคอมพิวเตอร์ที่แน่ๆ คือเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่สามารถเติบโตแบบทวีคูณอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องไปติดชะงักที่คอขวด
เมื่อถึงเวลาประมาณปี 2020 ทั้งคู่จะเผชิญกับอุปสรรคชิ้นใหญ่ เนื่องจากข้อจำกัดของเทคโนโลยีแผ่นซิลิกอน ในที่สุดเราจะถูกบังคับให้ประดิษฐ์เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ศักย-ภาพยังไม่เคยสำรวจและทดสอบมาก่อน ตั้งแต่คอมพิวเตอร์แสง คอมพิวเตอร์โมเลกุลและคอมพิวเตอร์ดีเอ็นเอ ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ควอนตัม การออกแบบใหม่ที่แหวกแนวจากที่มีอยู่ต้องพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของทฤษฎีควอนตัม ซึ่งมีแนวโน้มที่จะกระทบกระเทือนความก้าวหน้าของวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในที่สุดยุคของตัวปฏิบัติการขนาดเล็กจะสิ้นสุดลง และอุปกรณ์ควอนตัมชนิดใหม่ต่างๆ จะมาแทนที่
ถ้าความยากลำบากในเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เหล่านี้ถูกพิชิตได้ ช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2020 ถึงปี 2050 จะเป็นทางเข้าสู่ตลาดแห่งเทคโนโลยีชนิดใหม่โดยสิ้นเชิง นั่นคือหุ่นยนต์อัตโนมัติที่แท้จริงที่มีสามัญสำนึก สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ สามารถจดจำและจัดการวัตถุต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมของพวกมันและสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาด การพัฒนาดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเรากับเครื่องจักรตลอดไป
ในทำนองเดียวกัน เทคโนโลยีชีวภาพจะเผชิญหน้ากับปัญหาชุดใหม่ก่อนปี 2020สาขาวิชานี้จะท่วมท้นไปด้วยยีนนับล้านๆ ที่หน้าที่พื้นฐานยังคลุมเครืออยู่มาก แม้แต่ก่อนปี 2020 จุดสนใจจะหันเหจากการถอดรหัสดีเอ็นเอไปสู่การทำความเข้าใจหน้าที่พื้นฐานของยีนซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำได้โดยอัตโนมัติ และการเข้าใจโรคและลักษณะทางพันธุกรรมที่เกิดจากกลุ่มยีน หรืออีกนัยหนึ่งคือพวกที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาแบบหลายยีน (multiple genes) ที่ยุ่งยากซับซ้อน การเบนความสนใจมาสู่โรคที่เกิดจากกลุ่มยีน (polygenic diseases) ซึ่งอาจพิสูจน์ในเวลาต่อมาว่าเป็นกุญแจในการแก้ปัญหาโรคเรื้อรังที่ก่อความทุกข์ทรมานยิ่งบางอย่างที่มนุษย์กำลังเผชิญ ได้แก่ โรคหัวใจโรคไขข้อ โรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน โรคจิตเภท และอื่นๆ มันอาจนำไปสู่การถอดแบบมนุษย์หรือโคลนนิ่งและการแยก ยีนอายุขัย ที่เชื่อกันว่าควบคุมกระบวนการแก่ชราทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น
หลังปี 2020 เราคาดหวังว่าจะมีเทคโนโลยีอันน่าทึ่งใหม่ๆ ซึ่งถือกำเนิดในห้องทดลองฟิสิกส์์จะผลิดอกออกผลด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เลเซอร์รุ่นใหม่และโทรทัศน์สามมิติไปถึงปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น ตัวนำยิ่งยวดที่อุณหภูมิปกติอาจจะนำไปใช้ในทางการค้าและทำให้เกิด การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ทฤษฎีควอนตัมจะทำให้เราสามารถผลิตเครื่องจักรขนาดเท่าโมเลกุล นำไปสู่เครื่องจักรชนิดใหม่คุณสมบัติพิสดารที่เรียกว่านาโนเทคโนโลยี ลงท้ายเราอาจสามารถสร้างเครื่องจักรไอออนิกที่อาจทำให้การเดินทางระหว่างดาวเคราะห์เป็นเรื่องธรรมดาในที่สุด
จากปี 2050 ถึงปี 2100 และต่อจากนั้น
ประการสุดท้าย หนังสือเล่มนี้ทำนายเกี่ยวกับความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2050 ถึงต้นศตวรรษที่ 22 ถึงแม้ว่าการทำนายใดๆ เกี่ยวกับอนาคตที่ยาวไกลเช่นนั้นจำเป็นต้องมีความคลุมเครือ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่มีแนวโน้มที่จะถูกครอบงำด้วยพัฒนาการใหม่หลายอย่าง หุ่นยนต์อาจจะเข้าถึง ความรู้สึกตัว และสำนึกในตัวตนพวกมันเองไม่มากก็น้อย สิ่งนี้เพิ่มประโยชน์ใช้สอยของพวกมันในสังคมได้เมื่อพวกมันสามารถตัดสินใจอย่างอิสระและมีบทบาทเป็นเลขานุการ พ่อบ้าน ผู้ช่วยและลูกมือในทำนองเดียวกันการปฏิวัติดีเอ็นเอจะก้าวหน้าไปถึงจุดที่นักชีวพันธุศาสตร์สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่จากการโอนถ่ายยีนที่ไม่ใช่เพียงสองสามชิ้น แต่เป็นจำนวนร้อยๆ ทำให้เรามีแหล่งอาหารเพิ่มขึ้น ปรับปรุงยาและสุขภาพ การปฏิวัติดังกล่าวอาจทำให้เราสามารถออกแบบรูปแบบชีวิตใหม่ และจัดแต่งโครงสร้างทั้งทางกายภาพ และบางทีทางจิตใจของลูกหลานของเรา ที่อาจก่อให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมได้ด้วย
ทฤษฎีควอนตัมสร้างอิทธิพลที่ทรงพลังในศตวรรษต่อไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการก่อกำเนิดพลังงาน เราอาจเห็นจุดเริ่มต้นของจรวดที่สามารถไปยังดวงดาวใกล้เคียงและแผนการที่จะสร้างอาณานิคมแห่งแรกๆ ในอวกาศ
หลังปี 2100 นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าจะมีการบรรจบกันของการปฏิวัติทั้งสาม เมื่อทฤษฎีควอนตัมให้วงจรทรานซิสเตอร์และเครื่องจักรทั้งเครื่องที่มีขนาดเท่าโมเลกุลแก่เราทำให้เราสามารถจำลองแบบคลื่นสมองบนคอมพิวเตอร์ ในยุคนี้นักวิทยาศาสตร์บางคนได้ค้นคว้าเกี่ยวกับการยืดชีวิตโดยการปลูกถ่ายอวัยวะและร่างกาย การจัดการกับองค์ประกอบทางพันธุกรรม หรือแม้แต่เชื่อมต่อกับสิ่งประดิษฐ์ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ไปสู่อารยธรรมของดาวเคราะห์
เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่น่ามึนงงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับใหญ่ขนาดนี้ มีบางเสียงคอยบอกว่าเรากำลังจะไปไกลและเร็วเกินไป จนกระทั่งผลกระทบทางสังคมที่คาดไม่ถึงจะถูกปลดปล่อยโดยการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้
ผมจะพยายามบอกเล่าถึงข้อสงสัยและความกังวลอันสมเหตุสมผลเหล่านี้ โดยสำรวจอย่างระมัดระวังถึงผลกระทบที่มีต่อสังคมที่อาจจะอ่อนไหวต่อการปฏิวัติที่ทรงอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกมันทำให้ความแตกแยกที่มีอยู่ในสังคมนั้นแย่ลงไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น เราจะตั้งคำถามหนึ่งที่ไกลตัวเรายิ่งกว่า นั่นคือเรากำลังรีบไปที่ไหนกัน ถ้ายุคหนึ่งของวิทยาศาสตร์กำลังสิ้นสุดลง และอีกยุคหนึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้น แล้วทั้งหมดนี้กำลังนำเราไปยังแห่งหนใด?
นี่คือคำถามของนักฟิสิกส์์ดาราศาสตร์ผู้กวาดสายตาไปตามท้องฟ้าเพื่อมองหาสัญญาณที่แสดงถึงอารยธรรมต่างดาวที่อาจจะก้าวหน้ากว่าเรามาก มีดวงดาวประมาณ 2 แสนล้านดวงในกาแล็กซี่ของเรา และมีกาแล็กซี่อยู่ล้านล้านล้านกาแล็กซี่ในอวกาศ แทนที่จะสูญเงินเป็นล้านๆ ดอลลาร์ในการสุ่มเสาะหาสัญญาณที่แสดงถึงสิ่งมีชีวิตต่างดาวในหมู่ดวงดาวทั้งหมด นักฟิสิกส์์ดาราศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการสืบเสาะเหล่านี้ได้พยายามมุ่งไปที่การสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของพลังงานและร่องรอยของอารยธรรมที่ก้าวหน้ากว่าเราหลายศตวรรษหรือหลายพันปี
นักฟิสิกส์์ดาราศาสตร์ผู้ซึ่งคอยกวาดตามองท้องฟ้าได้ประยุกต์ใช้กฎทางอุณหพลศาสตร์และพลังงาน และสามารถแบ่งแยกอารยธรรมต่างดาวที่สมมุติฐานไว้เป็นสามประเภทตามวิธีการใช้พลังงาน นักดาราศาสตร์ชาวรัสเซียชื่อนิโคไล คาร์ดาเชฟ (Nikolai Kardashev) และนักฟิสิกส์์จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันชื่อฟรีแมน ไดสัน (Freeman Dyson) ตั้งชื่อชนิดไว้ว่าอารยธรรมแบบที่หนึ่ง สอง และสาม
สมมุติว่าการเพิ่มขึ้นของการใช้พลังงานในแต่ละปีอยู่ในอัตราที่ไม่สูงนัก ใครก็คาดคะเนอนาคตข้างหน้านับศตวรรษได้เมื่อแหล่งพลังงานบางอย่างจะหมดสิ้น บีบให้สังคมก้าวสู่ระดับต่อไป
อารยธรรมแบบที่หนึ่งคืออารยธรรมที่ควบคุมพลังงานทุกชนิดบนโลก อารย-ธรรมดังกล่าวสามารถปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ ทำเหมืองในมหาสมุทร หรือดึงพลังงานจากศูนย์กลางดาวเคราะห์ของพวกเขาได้ ความต้องการทางพลังงานนั้นมีมากจนกระทั่งพวกเขาต้องเอาทรัพยากรที่มีศักยภาพของทั้งดาวเคราะห์มาใช้ การนำมาใช้และจัดการทรัพยากรขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องการความร่วมมือในระดับที่ซับซ้อนผ่านการสื่อสารโดยรวมที่ละเอียดถี่ถ้วน นี่หมายความว่าพวกเขาต้องเข้าถึงอารยธรรมของทั้งดาวเคราะห์อย่างแท้จริง คือเป็นแบบของอารยธรรมที่ได้วางมือเกือบทั้งหมดจากการดิ้นรนตามกลุ่มผลประโยชน์ ศาสนา นิกาย ชนชาติที่แบ่งแยกต้นกำเนิดของพวกเขา
อารยธรรมแบบที่สองคืออารยธรรมที่ควบคุมพลังงานของดวงดาว ความต้องการพลังงานนั้นมากมายมหาศาลจนกระทั่งพวกเขาได้ใช้ทรัพยากรบนดาวเคราะห์จนหมด และต้องใช้ดวงอาทิตย์เองในการขับเคลื่อนเครื่องจักรของพวกเขา ไดสันคาดว่าการสร้างทรงกลมขนาดมหึมารอบๆ ดวงอาทิตย์ อารยธรรมดังกล่าวอาจจะสามารถนำพลังงานทั้งหมดที่ปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์มาใช้ พวกเขาเริ่มการสำรวจและตั้งอาณานิคมที่ระบบดวงดาวใกล้เคียงด้วยเช่นกัน
อารยธรรมแบบที่สามคืออารยธรรมที่ได้ใช้พลังงานที่ออกมาจากดาวดวงหนึ่งไปหมดแล้ว พวกเขาต้องไปยังระบบดาวและกลุ่มกาแล็กซี่ใกล้ๆ และวิวัฒนาการไปเป็นอารยธรรมกาแล็กซี่ในที่สุด พวกเขาได้รับพลังงานจากการนำพลังงานของกลุ่มดาวต่างๆ ในกาแล็กซี่มาใช้
(เพื่อให้รู้สึกถึงขอบเขต สหพันธรัฐแห่งดาวเคราะห์ที่บรรยายถึงในเรื่องสตาร์เทร็ก (Star Trek) อาจพิจารณาได้ว่าอยู่ในสถานะเริ่มของแบบที่สอง เพราะพวกเขาเพิ่งจะสามารถจุดระเบิดดวงดาวและก่อตั้งอาณานิคมในระบบดาวใกล้เคียงได้ 2-3 ระบบ)
ระบบการแบ่งแยกประเภทอารยธรรมนี้เป็นระบบที่สมเหตุสมผลเพราะว่ามันพึ่งพาแหล่งพลังงานใช้สอยที่มี อารยธรรมที่ก้าวหน้าทางอวกาศจะมีแหล่งพลังงานทั้งสามอยู่ในกำมือในที่สุด อันได้แก่ ดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ และกาแล็กซี่ของพวกเขา ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
จากอัตราการเติบโตที่ไม่สูงมากคือเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่พบโดยทั่วไปบนโลก เราคำนวณได้ว่า เมื่อใดดาวเคราะห์ของเราจะเปลี่ยนแปลงไปสู่สถานะที่สูงกว่าในกาแล็กซี่แห่งนี้ ตัวอย่างเช่น นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ประมาณบนพื้นฐานของการพิจารณาด้านพลังงานว่าสัดส่วนหมื่นล้านเท่าอาจแบ่งผลต่างของความจำเป็นด้านพลังงานระหว่างอารยธรรมหลากหลายประเภท ถึงแม้ว่าในตอนต้นตัวเลขมหาศาลนี้อาจจะดูเหมือนอุปสรรคที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ แต่อัตราการเติบโตที่คงตัวที่ 3 เปอร์เซ็นต์ก็จะเอาชนะสัดส่วนนี้ได้ ที่จริงแล้วเราคาดได้ว่าน่าจะไปถึงสถานะของแบบที่หนึ่งภายในหนึ่งหรือสองศตวรรษ เพื่อจะไปถึงสถานะของแบบที่สองอาจใช้เวลาไม่เกินประมาณ 800
ปี แต่เพื่อไปให้ถึงสถานะของอารยธรรมแบบที่สามอาจใช้เวลาถึง 10,000 ปี หรือมากกว่านั้น (ขึ้นกับฟิสิกส์์ของการเดินทางระหว่างดวงดาว) แต่แม้แต่เรื่องนี้ก็เป็นเพียงพริบตาเดียวจากมุมมองของจักรวาลที่มีอายุยืนนาน
ตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ไหน? คุณอาจจะถาม ปัจจุบันนี้เราเป็นอารยธรรมชนิด 0กล่าวได้ว่าเราเพียงใช้พืชที่ตายแล้ว (ถ่านหินและน้ำมัน) เพื่อเป็นพลังงานเครื่องจักรของเรา ในระดับดาวเคราะห์ เราก็เหมือนเด็กๆ ที่กำลังก้าวย่างอย่างลังเลและงุ่มง่ามไปสู่อวกาศ แต่ก่อนจะสิ้นสุดศตวรรษที่ 21 พลังที่มิอาจต้านทานของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ทั้งสามจะบังคับชาติต่างๆ บนโลกให้ร่วมมือกันในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ก่อนจะถึงศตวรรษที่ 22 เราจะมีพื้นฐานสำหรับอารยธรรมแบบที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว และมนุษยชาติจะได้ย่างก้าวเป็นครั้งแรกไปสู่ดวงดาว
การปฏิวัติข้อมูลข่าวสารกำลังสร้างความเชื่อมโยงเครือข่ายทั้งโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งทลายความใจแคบและการยึดติดผลประโยชน์หรือพวกพ้อง และในเวลาเดียวกันก็สร้างสรรค์วัฒนธรรมร่วมกันทั้งโลก เช่นเดียวกับการที่แท่นพิมพ์กูเตนเบิร์กทำให้ผู้คนรู้ถึงโลกอื่นๆ ภายนอกหมู่บ้านหรือชุมชนของพวกเขา การปฏิวัติข้อมูลกำลังก่อสร้างและลอกเลียนวัฒนธรรมร่วมแห่งดาวเคราะห์จากวัฒนธรรมที่เล็กกว่านับพัน
นี่หมายความว่าสักวันหนึ่งการเดินทางที่พุ่งสุดตัวสู่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะนำพวกเราให้วิวัฒนาการไปสู่อารยธรรมแบบที่หนึ่งอย่างแท้จริง อารยธรรมแห่งดาวเคราะห์ที่นำพลังแห่งดาวเคราะห์ไปใช้อย่างแท้จริง การเดินทางไปสู่อารยธรรมแห่งดาวเคราะห์จะเป็นไปอย่างช้าๆ และไม่สม่ำเสมอ ในขณะเดียวกันไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเต็มไปด้วยความพลิกผันและอุปสรรคขวากหนามที่ไม่คาดคิด ในเบื้องหลังย่อมเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ การระบาดของโรคติดต่อที่รุนแรงถึงตาย หรือการพังทลายของสิ่งแวดล้อมในการขวางกั้นไม่ให้การพังทลายเช่นนั้นเกิดขึ้น ผมคิดว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มีศักยภาพในการสร้างแรงที่จะดึงมนุษยชาติไปสู่อารยธรรมแบบที่หนึ่ง
เรายังอยู่ห่างไกลจากโอกาสที่จะได้เห็นการสิ้นสุดของวิทยาศาสตร์ เราจะเห็นว่าการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ทั้งสามกำลังปลดปล่อยพลังที่อาจจะมีอำนาจมากพอที่จะยกระดับอารยธรรมของพวกเราเข้าสู่สถานะของแบบที่หนึ่ง ดังนั้น เมื่อนิวตันเพียงผู้เดียวเริ่มจ้องมองมหาสมุทรแห่งความรู้อันกว้างใหญ่ที่ไม่มีใครสำรวจไว้มาก่อน เขาคงไม่เคยตระหนักว่าปฏิกิริยาลูกโซ่แห่งเหตุการณ์ที่เขาและคนอื่นๆ ได้เริ่มต้นขึ้นจะกระทบสังคมยุคใหม่ทั้งหมดในวันหนึ่ง สังคมซึ่งในที่สุดจะหลอมรวมเป็นอารยธรรมแห่งดาวเคราะห์และขับดันมันสู่เส้นทางแห่งดวงดาว
source:http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1315806767&grpid=no&catid=&subcatid=
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น